2 ก.ย. 2553

สู่การรับใช้ที่ดีเลิศ (มก. 1:9-15)

สู่การรับใช้ที่ดีเลิศ (มก. 1:9-15)
( มก. 1.9-15 ) หัวข้อ "สู่การรับใช้ที่ดีเลิศ"


คำนำ พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มต้นชีวิตแห่งการปรนนิบัติรับใช้อย่างดีเลิศ ด้วยการเข้ารับบัพติสมาในแม่น้ำจอร์แดนจาก ยอห์น บัพติสโต หลังจากนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำพระองค์เข้าสู่ถิ่นทุรกันดารเพื่อให้มารซาตานทดลอง ทั้งสองเหตุการณ์เราได้เห็นกระบวนการเตรียมชีวิตของพระเยซูคริสต์เพื่อการรับใช้

หลัก คือ พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นต้นแบบในการรับใช้ของเรา ซึ่งถ้าเราปรารถนาจะรับใช้ให้ดีเลิศนั้น เราต้องเลียนแบบชีวิตการรับใช้จากพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระบรมครู ผู้ทรงเป็นต้นแบบของเรา

1) สละ (9)

-พระเยซูได้เสด็จออกจากเมืองนาซาเร็ธแค้วนกาลิลี พร้อมชาวบ้านหลายคน ไปที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับบัพติสมาจาก ยอห์น บัพติสโต

-เราได้เห็นวิญญาณการสละของพระเยซู คือ ทรงสละครอบครัว สละบ้าน สละพี่น้อง สละอาชีพช่างไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ สละสถานภาพ โดยถ่อมพระองค์ลง แม้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าเพื่อให้มนุษย์ธรรมดา อย่าง ยอห์น บัพติสมา พระองค์จึงเป็นต้นแบบแห่งการสละ ทรงให้บทเรียนแรกแก่เรา ผู้ทรงสละสภาพพระเจ้า ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และถ่อมพระทัยลงกระทั่งความมรณาบนกางเขน (ฟป.2.6-7), นอกจากนี้ยังทรงเป็นต้นแบบของผู้เลี้ยงที่ดีเลิศ คือ สละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ (ยน.10.11)


-คนจะรับใช้พระเจ้า ต้องรู้จักและเกิดในคำว่า "สละ" เพราะถ้าเราไม่สละ ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มุ่งมั่นที่จะสละ เราจะรับใช้ให้ดีไม่ได้ อย่ามารับใช้เลย? เพราะสาวกนั้นมีมาตรฐานหนึ่งที่สำคัญมาก ที่ทุกคนต้องผ่านต้องมี คือ (มก.8.34) "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตนเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา" เราเห็นตัวอย่าง จาก เศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งใน (มธ.19.22) ที่อยากเป็นสาวก แต่ไม่สามารถสละเงินได้

2) มีการเจิม (10-11)

-เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากน้ำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ดุจนกพิราบ ลงมาสู่พระองค์

-เราได้เห็นการเจิมจากพระเจ้าเหนือพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ (อสย.42.1-4 , 61.1-3) ซึ่งการเจิมในชีวิตของผู้รับใช้พระเจ้านั้นสำคัญมาก (1ยน.2.27) เพราะเราทำงานฝ่ายวิญญาณ เป็นงานของสวรรค์ เราต้องการกำลังจากเบื้องบน ต้องมีพลังภายในชีวิตจิตใจ มีการทรงสถิตของพระเจ้า มีฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานภายในตัวเรา เพื่อจะรับใช้ในงานของสวรรค์ได้ดีนั้น พระเยซูคริสต์ต้องกำชับเหล่าสาวก ว่า "อย่าออกไปไหน แต่ให้คอยรอรับตามพระสัญญา ที่ห้องชั้นบนในกรุงเยรูซาเล็ม... จนกว่าจะประกอบไปด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน" (ลก.24.49)


-เมื่อเรามีประสบการณ์ในการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณนั้น จะทำให้เรามีพลังในการเป็นพยานฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างดีเลิศ (กจ.1.8) ตัวอย่างจากทัศนคติเรื่องคำเทศนาของ อ.เปาโล ใน (1คร.2.4-5 และ, 2ทธ.1.5)


3) ผ่านการทดสอบ (12-13 ก)

-พระเยซูคริสต์ ทรงผ่านการทดสอบในการอดอาหารในถิ่นทุรกันดาร 40 วัน เผชิญกับมารซาตาน (มธ.4.1-11) ชีวิตเราเช่นกันจะรับใช้พระเจ้า หรือทำงานได้ดีแค่ไหนต้องผ่านการทดสอบ เพื่อเราจะเป็นภาชนะที่พระองค์ทรงใช้การได้อย่างดีที่สุด (2ทธ.2.20-21 )

-จากตัวอย่างที่พระเยซูคริสต์ถูกทดสอบนั้น ทรงถูกทดสอบ 3 ด้าน เช่นเดียวกับชีวิตเรา คือ

3.1) ด้านชีวิตส่วนตัว (เสกก้อนหินเป็นขนมปัง)


3.2) ด้านสติปัญญา (ให้กระโดดตึก แล้วฑูตจะมาช่วย)


3.3) ด้านแรงจูงใจ (ให้กราบนมัสการผี แล้วมันจะยกอาณาจักรความมั่งคั่งของโลกให้)

4) มีพระวจนะเป็นหลัก (13 ข)

-ในข้อ (14 ข) บอกว่า พระเยซูทรงผ่านการทดสอบ และมีพวกฑูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์

-เราพบว่าพระเยซู ทรงชนะการทดลองด้วยพระวจนะของพระเจ้า พระองค์มีหลัก และทรงยึดหลักแห่งพระวจนะ ในการใช้โต้ตอบกับมารซาตาน ทรงนำพระวจนะมาประยุกต์ใช้เผชิญกับปัญหาวิกฤตชีวิตอย่างยอดเยี่ยม (มธ.4.4, 6-7, 10) จนที่สุดพระองค์ผ่านวิกฤตได้ และพระเจ้าได้ทรงหนุนน้ำใจ ปลอบโยนส่งฑูตสวรรค์ มาปรนนิบัตินั่นเอง

-พระคัมภีร์นั้นเป็นอาวุธของทหารพระคริสต์ ผู้รับใช้พระเจ้าต้องใช้อาวุธเป็น มิใช่แค่รู้จักอาวุธ รู้ข้อมูลของอาวุธอย่างละอียด แต่กลับใช้ในชีวิตจริงไม่เป็นเลย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เราเองก็จะทำงานโดยเปล่าประโยชน์แน่ๆ (ฟป.2.16) ให้เรามีหลักในการรับใช้ คือ ทำทุกสิ่งโดยยึดหลักแห่งพระวจนะ เพราะพระวจนะนั้นเป็นประโยชน์ (2ทธ.3.16, ฮบ.4.12)

-พระวจนะนั้น คือ ความคิดของพระเจ้า ดังนั้นให้เชื่อและนบนอบต่อความคิดของพระองค์ และเมื่อใดที่ความคิดของเราเกิดทิฐิมานะขึ้น มีเหตุผลจอมปลอมมากมาย ก็ขอให้เรานบนอบและยอมจำนนต่อพระวจนะของพระองค์ (2คร.10.5)


-ผู้รับใช้นั้นต้องมีหลัก มิใช่ลอยไปมา ขาดหลักการในชีวิต ในการรับใช้ ถ้าเรามีหลักดี เราก็จะล้มยาก และเมื่อยึดหลักในการทำทุกสิ่ง ....เราจะไม่พลาดเลย (สดด.119.89)


5) ผล คือ รับใช้ดีเลิศ (14-15)

5.1) แม้เจอวิกฤต (14)

-"ครั้น ยอห์น ถูกอายัดแล้ว พระเยซูก็เสด็จออกไปประกาศ.."

-ยอห์น บัพติสโต ถูกกษัตริย์เฮโรด จับขังคุกและที่สุดถูกประหารชีวิต เพราะไปแตะเรื่องส่วนตัวของเฮโรดที่ทำผิดทำบาป แม้เจอเรื่องวิกฤต พระเยซูคริสต์ก็เดินหน้าทำงานต่อไป

ชีวิตเราเช่นกัน ถ้าตั้งแต่ (ข้อ 1-4 ) เราผ่านได้ ผลที่ตามมาคือ เราจะแกร่งมากขึ้น และรับใช้ได้ดีเลิศ ไม่มีสิ่งใดมาหยุดได้ เช่น อ.เปาโล (กจ.20.19, 24)

5.2) แม้รีบเร่ง (15)

-"เวลากำหนดมาถึงแล้ว และแผ่นดินของพระเจ้าก็ใกล้เข้ามา..."

-งานของพระเจ้านั้นเป็นงานเร่งด่วนมิใช่ ทำเมื่อว่าง หรือทำเมื่อพร้อม ทีหลัง แต่ต้องทำทันที (ยก.4.13) อย่ารอพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตามขอให้เราสมดุลย์และเข้าใจชีวิตในภาพรวมด้วย นั่นคือ ภาระที่พระเจ้าให้กับเรานั้น มันพอเหมาะกับชีวิตของเรา (Fit) ใน (มธ.11.30) พระองค์ทรงรู้จักกำลังของเรา และเมื่อใดก็ตามที่เราเผชิญสิ่งที่เกินกำลัง พระองค์จะทรงช่วยเรา

เพราะแอกที่เราแบกนั้นแท้จริงผู้ที่แบกแท้จริง คือ องค์พระเยซูคริสต์ต่างหาก ( อสย.9.6 ) บอกว่า "..และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน"

-อย่าให้ผู้รับใช้คิดว่า เราแบกงานหนัก หรือเราแบกทั้งโบสถ์อยู่ จงคิดใหม่ และให้ย้ายการแบกภาระนี้ ไปไว้ที่บ่าของพระเยซูคริสต์ และเรียนจากพระองค์ พึ่งพาพระองค์ ให้พระองค์นำหน้าไปตลอดทาง โดยตัวเราพร้อมร่วมมือเป็นภาชนะที่พระองค์ทรงใช้ได้ตลอดเวลาชั่วชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น