2 ก.ย. 2553

บ้านนั้นมีอัศจรรย์ (มก.1.29-31)

( มก.1.29-31 ) บ้านนั้นมีอัศจรรย์

คำนำ พระเยซูได้เข้าไปบ้านของซีโมนเปโตร และได้พบ "แม่ยายของซีโมนนอนป่วยไข้อยู่" พระองค์ทรงรักษาความป่วยไข้ของนางให้หายอย่างอัศจรรย์ บ้านหลังนั้นมีการอัศจรรย์

ทั้งๆ เป็นบ้านของชาวประมงธรรมดา นั่นไม่ใช่แค่เพราะว่าบ้านหลังนั้นมีพระเยซูคริสต์เท่านั้นแน่ แต่บ้านหลังนั้นต้องมีอะไรพิเศษมากกว่านั้น....ถึงมี...อัศจรรย์ ?


1) เพราะบ้านนั้นไปโบสถ์ (29 ก)

"พอออกจากธรรมศาลา......."

คนบ้านนั้นไปธรรมศาลาในวันสะบาโตทุกคน ยกเว้นคนเดียว คือ แม่ยายของเปโตรที่นอนป่วยอยู่ แสดงว่าบ้านนี้รักพระเจ้ามาก ไม่ขาดการนมัสการในวันอาทิตย์ยกเว้นมีความจำเป็นจริงๆ เช่น ป่วย สอบ หรือกิจธุระที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ (ฮบ.10.24-25)


การไปโบสถ์สำคัญมาก มีผลต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราและต่อพระพรในทุกๆ ด้าน เราอยู่ในยุคสมัยที่คนเคร่งเครียดกับการทำงาน ซึ่งพระเจ้าเองก็ทรงเป็นนักทำงาน พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและโลก 6 วัน แต่ในวันที่เจ็ดทรงหยุดพัก ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ (อพย.20.8-10) เพื่อเราจะได้ใช้วันนั้นนมัสการพระองค์ ฟังสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับเราผ่านพระวจนะ (อสย.2.3, สดด.119.105) ร่วมสามัคคีธรรมและปรนนิบัติพี่น้องในพระกายเดียวกันนั่นเอง ( กจ.2.46 )


2) เพราะบ้านนั้นรับใช้ (29 ข)

"...พระองค์กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเรือนของเปโตร..."

บ้านหลังนี้มีคนที่ถวายตัวรับใช้พระเจ้าอย่างแข็งแรง คือ ซีโมนเปโตร และน้องชายอันดูร์ ซึ่งทำให้บ้านหลังนี้รับพระพรตามไปด้วย เพราะใครที่รับใช้พระเจ้าเขาย่อมได้รับพระพรในฐานะผู้รับใช้พระเจ้าไปด้วย และผู้รับใช้พระเจ้ากับการอัศจรรย์นั้นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เป็นพระสัญญาที่องค์พระคริสต์ทรงประทานให้ผู้รับใช้ทุกๆ คน (กจ.1.8, มก.16.15-18)

ขอให้เราสนับสนุนลูกหลานและสมาชิกในบ้านทุกคนที่จะมีส่วนในการรับใช้พระเจ้าอย่างแข็งแรง ให้ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษ เป็นเกียรติยศสูงสุดของครอบครัววงษ์ตระกูล (ยน.12.26) เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะนำมาซึ่งพระพรมหาศาลที่จะได้ให้ครอบครัวของเรามีส่วนในการรับใช้พระเจ้า เช่น ครอบครัวของโยชูวา (ยชว.24.15) ครอบครัวของทิโมธี (2ทธ.1.5)


3) เพราะบ้านนั้นมีความเชื่อ (30 ก)

"แม่ยายของซีโมนนอนป่ายไข้อยู่ ในทันใดนั้น เขาจึงมาทูลพระองค์ ให้ทราบด้วยเรื่องของนาง"

พระคัมภีร์บอกว่า "ในทันใดนั้น เขาจึงมาทูลพระเยซูให้ทราบ" หมายถึงเมื่อเกิดเหตุการณ์ป่วยไข้พวกเขาวิ่งเข้าหาพระเยซูด้วยความเชื่อ เขาไม่รีรอ ไม่ลังเล เขาเชื่อ 100% ว่า พระเยซูสามารถช่วยเธอได้แน่ นี่คือสิ่งสำคัญมากสำหรับคริสเตียน เพราะถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว เราก็จะไม่ได้รับ ไม่ได้พบการอัศจรรย์เลย เช่น (มธ.13.58) ที่นาซาเร็ธ บ้านเกิดของพระเยซูเอง ชาวบ้านไม่มีความเชื่อ พระคัมภีร์บอกว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่นั่นไม่ค่อยได้ (ฮบ.11.6) ตรงกันข้ามกับคนที่มีความเชื่อที่เขาจะได้สัมผัสการอัศจรรย์อย่างแน่นอน (ยน.11.40) ตัวอย่าง นายร้อยผู้มีความเชื่อ เขาขอเพียงให้พระเยซูตรัสสั่งเท่านั้น เขาเชื่อแน่ว่า บ่าวของเขาที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน ก็จะหายป่วยได้ (มธ.8.6)

4) เพราะบ้านนั้นอธิษฐาน (30 ข)

"...เขาจึงมาทูลพระองค์ให้ทรงทราบด้วยเรื่องของนาง"

พวกเขาเข้าไปทูลต่อพระเยซูเพื่อให้พระองค์ทรงรักษาเธอให้หายนั่นเอง หากเราต้องการให้พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ในชีวิตหรือในครอบครัวของเรา เราต้องอธิษฐาน (ฟป.4.6-7, มธ.7.7) บ้านที่ไม่มีการอัศจรรย์ คือ บ้านที่ไม่ค่อยอธิษฐาน (มธ.18.20, 2พศด.7.14, ยก.5.16) เราเป็นมนุษย์ที่ใช่ว่าจะเข็มแข็งได้ตลอดเวลา ครอบครัวของเราต้องการผู้หนึ่งที่คอยดูแล นั่นคือพระเจ้าครับ (สดด.127.1)


5) เพราะบ้านนั้นปรนนิบัติ (31)


"...นางจึงลุกขึ้นปรนบัติพระองค์กับพวกของพระองค์"

ปรนนิบัคิพระเจ้า ปรนนิบัติผู้รับใช้ และปรนนิบัติผู้อื่น จะนำมาซึ่งพระพรอย่างอัศรรย์ในชีวิต บางครั้งการอัศจรรย์เกิดขึ้นง่ายๆ ในเวลาที่ใครสักคนเริ่มถ่อมใจลงปรนนิบัคิผู้อื่น เพราะมนุษย์นั้นมี "อัตตา" (ความทนงในตนเอง) สูงมากๆ จึงมีคำพูดที่ว่า "ง่าย ที่จะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า แต่ไม่ง่าย ที่จะถ่อมใจลงปรนนิบัติผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นวิถีชีวิต" (มธ.20.28) พระเยซูทรงเป็นแบบอย่าง (ยน.13.1-5) เราต้องตระหนักว่า "การปรนนิบัติพี่น้อง ก็เท่ากับปรนนิบัติพระเยซู นั่นเอง" (มธ.25.40) และท่าทีแบบนี้ วิญญาณแบบนี้ ถ้ามีในครอบครัวใด บ้านใด ก็จะนำมาซึ่งพระพรและการอัศจรรย์ เช่น บ้านของหญิงหม้ายชาวเศราฟัท (1พกษ.17.1-24) ที่พระเจ้าทรงสอนให้ปรนนิบัติแม้จะยากจนที่สุด เพราะพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์

ขอให้เราเปิดบ้านออก สอนลูกหลาน และพาทุกคนในบ้านของเราให้มีส่วนในงานของพระเจ้า ใช้บ้านของเราในการเป็นสถานประกาศ ทำกลุ่มเซล หรือใช้ต้อนรับเพื่อนผู้รับใช้ สนับสนุนงานของพระเจ้า และเวลานั้นบ้านนั้นจะมีอัศจรรย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น