2 ก.ย. 2553

สิทธิอำนาจแห่งคำสอน (มก.1:21-28)

(มก.1.21-28) "สิทธิอำนาจแห่งคำสอน"


คำนำ ในพระคัมภีร์ (ข้อ 21) บอกว่า ในวันสะบาโต พระเยซูได้เข้าไปในธรรมศาลาเทศนาสั่งสอน พระองค์ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ ?

"สั่งสอนด้วยสิทธิอำนาจ" หมายถึง คำสั่งสอนนั้นมีสิทธิและมีอำนาจเหนือผีร้าย แตะทั้งโลกวิญญาณ และโลกกายภาพ แตะต้องทุกชีวิตอย่างอัศจรรย์ มิใช่แค่ความรู้ ความเข้าใจในสมองที่ได้รับจากคำสอนแบบที่พวกธรรมจารย์ทำ แต่คำเทศนาสั่งสอนของพระเยซูนั้นมีฤทธิ์อำนาจ ช่วยคน ปลดปล่อยคน แก้ไขคน และสร้างคนได้ นั่นคือ "สิทธิอำนาจแห่งคำสั่งสอน"

คำเทศนาสั่งสอนจากพระคัมภีร์ สำคัญมาก มิใช่เป็นเพียงคำพูด หรือคำบรรยายใดๆ ให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่การใช้โวหารที่มาจากความคิดหรือสติปัญญาของมนุษย์ แต่เบื้องหลัง คือ การถ่ายทอดความคิดของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระวจนะของพระองค์ ว่าทรงมีพระประสงค์มาถึงชีวิตและสังคมของเราอย่างไร ตลอดจนการเจิมขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่เหนือชีวิตผู้เทศนาเอง ให้เต็มด้วยความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ความหวังใจ ความรัก ความสามารถ และฤทธิ์เดช

ตัวอย่าง - ทัศนาคติเรื่องคำเทศนาสั่งสอนของ อ.เปาโล ใน (1 คร.2.1-4)

- แนวทางที่พระเยซูทรงใช้เมื่อส่งสาวกออกไปเทศนาสั่งสอน ใน (มก.16.20)


ข้าพเจ้าหนุนใจให้คริสตจักรและผู้รับใช้เทศนาสั่งสอนจากพระคัมภัร์เป็นหลัก นั่นคือการเทศนาแบบอรรถธิบายพระคัมภีร์ ใช้เจตนารมย์ของพระคัมภีร์เป็นกรอบของเนื้อหาสาระทั้งหมด ใช้อย่างสัตย์ซื่อจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีอะไรเคลือบแฝงที่จะพูด จะสื่อลงไปในคำเทศนาสั่งสอน ให้เกียรติความคิดของพระเจ้าในทุกข้อทุกตอนที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่คึงเอามาเข้าข้างความคิดของผู้ที่เทศน์หรือผู้สอนเอง ซึ่งถ้าผู้สื่อสารของพระเจ้าทำได้เช่นนั้น ทั้งผู้ฟังและตัวผู้เทศนาเองจะสัมผัสได้ถึงการเจิมของพระเจ้า และได้เห็น "สิทธิอำนาจแห่งคำสั่งสอน" ว่าเป็นอย่างไร ผู้ฟังจะเกิด "แปลบปลาบใจ...ประหลาดใจ...และคัดค้านไม่ได้...." (กจ.2.37, 4.12-14)

ลักษณะสิทธิอำนาจแห่งคำสอน ?



1) สัมผัสจิตใจ (22)
"..เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจ ด้วยการสอนของพระองค์..."

ลักษณะสิทธิอำ นาจแห่งคำสอนนั้นจะสัมผัสจิตใจผู้คน เป็นคำสอนที่พระเจ้าทรงเจิมเอาไว้ เป็นถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ (แม้พระองค์จะใช้มนุษย์ในการสื่อสารก็ตาม แต่สัมผัสได้ว่า ถ้อยคำนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของข้าพเจ้า ผู้กำลังเทศน์ กำลังสอน ) มิใช่แค่คำบรรยาย คำเทศนาของผู้นำศาสนาหรือนักบวช เพราะ คำบรรยายนั้นไม่ได้ช่วยอะไร? เพราะมัน "ไม่มีอำนาจอะไร" ต่างจากถ้อยคำของพระเจ้า เสียงของพระเจ้า ที่มีฤทธิ์อำนาจเข้าไปสู่จิตใจ และจิตวิญญาณเราได้ ถ้าเราเปิดใจออก ใน (วว.3.20)พระเยซูตรัสว่า "นี่แนะเรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น..."


เสียงของพระเจ้า ? ไม่ใช่เสียงที่ลอยมากระทบหูเราในอากาศ เราจะไม่ได้ยินแน่ ถ้าเราฟังที่ "หู" เท่านั้น แต่เราต้องฟังที่ "ใจ" เราต้องใช้หัวใจฟัง ไม่ใช่ใช้แค่หัวสมองฟัง? หมายถึง ยอมรับฟัง-น้อมรับฟัง (ยก.4.7) บอกว่า "...ท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า..."

เมื่อเราน้อมรับฟังเสียงของพระเจ้า เวลานั้นจะเกิดการสัมผัสในจิตใจ เช่น ใน (กจ.2.37) เมื่อเปโตร เทศนาครั้งแรกต่อพวกยิว ใน (ยรม.23.29) บอกเราว่า ถ้อยคำของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์อำนาจ "เป็นดั่งไฟ หรือดั่งค้อนที่ทุบหินให้แตกเป็นชิ้นๆ" ใน (ฮบ.4.12) บอกว่า "พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุกระทั่งจิตวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจได้ด้วย"





2) ทำลายอำนาจมืด (23-24)

"......ท่านมาทำลายเราหรือ...."


-เมื่อพระวจนะเข้ามา ผีอยู่ไม่ได้ สิ่งชั่วร้ายอยู่ไม่ได้ นี่คือลักษณะของสิทธิอำนาจแห่งคำสอนที่เด่นชัดอย่างหนึ่ง คือ "ทำลายอำนาจมืด ทำลายกิจการผีมารซาตาน" เพราะพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นดั่ง "ดาบฝ่ายวิญญาณ" (อฟ.6.17) ตัวอย่าง เมื่อพระเจ้าทรงเรียก ท่านเยเรมีย์ ตั้งแต่ท่านเป็นเด็ก และใช้ท่านเป็นนักเทศน์ใน (ยรม.1.7-10)
ใน (ยน.8.31-32)) พระเยซูตรัสสอนว่า "ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะ จะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท"

หมายถึง สิ่งที่จะพิสูจน์ว่า เรานั้นเป็นสาวกแท้หรือไม่ ก็คือ ชีวิตที่เชื่อฟัง โดยยอมอยู่ใต้สิทธิอำนาจแห่งพระวจนะ และลักษณะชีวิตแบบนั้นจะทำให้ชีวิตเราเป็นไทอย่างแท้จริง ไม่มีสิงใดผูกมัดเราได้เลย ชีวิตจะมีชัยชนะ ไม่ถูกผูกมัดด้วยอำนาจบาป อำนาจชั่วร้าย สิ่งไม่ดีใดๆ ทั้งฝ่ายกาย ฝ่ายจิตใจและฝ่ายจิตวิญญาณ




3) นำการเยียวยารักษา (25-26)

-พระเยซูทรงขับผีร้ายออกจากชายคนนี้ ทรงนำการเยียวยารักษามาถึงเขา

-สิทธิอำนาจแห่งพระคำนั้น ไม่ใช่แค่ทำลายอำนาจมืดเท่านั้นอย่างเดียว คำเทศนาสั่งสอนนั้นไม่ใช่ใช้ในมุมของการทำลายฟาดฟันคน แต่เป้าหมายแท้จริง เพื่อ "การเยียวยารักษา" แม้การรักษานั้นจะเจ็บ? บางครั้งอาจเจ็บมากๆ (ตัวอย่างที่ ชายคนนั้นถูกผีทำให้ชัก และเขาร้องเสียงดังมากด้วยความเจ็บปวด) นั่นหมายถึง ทุกครั้งที่สิทธิอำนาจแห่งพระคำมา มันอาจจะเจ็บและเจ็บมาก เพราะนั่นคือการรักษา การรักษาโรคนั้นเจ็บแน่ ไม่มีการรักษาโรคร้ายใดๆ เลยที่ไม่เจ็บ ยิ่งโรคร้ายแรงต้องผ่าตัด ต้องฉายแสงฆ่ามะเร็งมันจะเจ็บปวดมากๆ แต่ทุกคนยอมเจ็บปวดจากการรักษาโรคร้ายนั้น ก็เพราะเขารู้ว่าต่อมาภายหลังเขาจะหายจากโรค หายเจ็บ หายปวด เขาจะกลับมามีขีวิตใหม่อีกครั้ง และเขาจะแข็งแรง ซึ่งคนป่วยทุกคนยอมจ่ายราคาเงินทอง เวลา การเชื่อฟังหมอ วินัยในการทานยา และทนต่อความเจ็บปวด ทั้งหมดก็เพื่อเขาจะหายป่วยนั่นเอง

(สดด.127.20) "พระองค์ทรงใช้พระวจนะชองพระองค์ไปรักษาเขา และทรงช่วยกู้เขาจากหลุมของเขา"


(1ปต.2.24) "พระองค์ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ที่ต้นไม้นั้น ด้วยบาดแผลของพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย"



4) สร้างความหวังใจ (27)

"...คนทั้งปวงก็ประหลาดใจ.....ทรงสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจ และมันจำค้องฟัง..."


ผู้คนเกิดความหวังใจ แม้ผีก็อยู่ในอำนาจ ต้องฟังพระเยซูคริสต์ ต้องฟังเสียงของพระองค์ ต้องฟังพระวจนะ นั่นหมายความว่าเราสามารถมีความหวังใจในพระวจนะได้เต็มเปี่ยม เพราะพระวจนะนั้นเป็นคำพูดของพระเจ้า ที่ทรงยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร ตัวอย่าง คำพูด คำสัญญาใดๆ ของมนุษย์ ถ้าจะใช้เป็นหลักฐาน เป็นพยาน เพื่อผูกพันตามกฎหมายนั้นต้อง "ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน" พระวจนะนั้นคือคำพูดของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงลงลายพระหัตถ์ไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้วนั่นคือ พระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มนั่นเอง พระเจ้ามิได้ทรงสัญญาอะไรลอยๆ แต่ทรงยืนยันลงลายมือ ทรงลงชื่อรับรองไว้เป็นหลักฐาน

(สดด.119.43) ดาวิด บอกว่า "ขออย่าทรงนำพระวจนะแห่งความจริงออกไปจากปากข้าพระองค์อย่างสิ้นเชิง เพราะความหวังของข้าพระองค์อยู่ในกฎหมายของพระองค์"


(สดด.139.17) ดาวิด บอกว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระดำริของพระองค์ประเสริฐแก่ข้าพระองค์จริงๆ รวมกันเข้าก็ไพศาลนัก"

(ฉธบ.32.2) โมเสส บอกว่า "ขอให้คำสอนของข้าพเจ้า หยดลงอย่างเม็ดฝน และคำปราศรัยของข้าพเจ้า กลั่นตัวลงอย่างน้ำค้าง"



5) พาคนให้รู้จักพระเจ้า (28)
"...กิตติศัพท์ของพระองค์ ได้เลื่องลือไปทั่วแคว้นกาลิลี"

เป้าหมายสูงสุดของการใช้พระคัมภีร์ในการเทศนาสั่งสอน ทั้งหมดก็เพื่อนำคนให้กลับใจใหม่ นำฤทธิ์อำนาจแห่งฟ้าสวรรค์เข้าไปปลดปล่อยชีวิตผู้คน (กจ.1.8) "แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่านทั้งหลาน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา ที่ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแค้วนยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนสุดปลายแผ่นดินโลก"

พระวจนะที่ออกไปจากปากของเรานั้นไม่ควรสูญเปล่า ดั่งเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ใน (อสย.55.11) ว่า "คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเรา จะไม่กลับมาสูญเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้น จำเริญขึ้น"

พระเยซูทรงตรัสสั่งสาวกทุกคน รวมถึงท่านและข้าพเจ้าในเวลานี้ด้วยว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" (มก.16.15)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น