2 ก.ย. 2552

เฝ้าเดี่ยววันที่ 3 ก.ย. 52

สังเกตุได้ว่าเปาโลเดินทางออกไปประกาศ 4 ครั้ง 3ครั้งมีการไปกลับ แต่ครั้งที่4เปาโลเดินทางไปกรุงโรมไปแล้วไม่ได้กลับอีก โดยส่วนตัวผมเห็นแล้วรู้สึกซาบซึ้งจิตใจของเปาโลเป็นอย่างมากที่เปาโลมีจิตใจ ที่เสียสละแม้ว่าเขาจะเผชิญความอยากลำบากเขาก็ไม่ท้อ ถึงแม้การเดินทางครั้งที่4นั้นเปาโลไปในฐานะผู้ถูกจองจำ หรือนักโทษ เปาโลก็ได้เขียนจดหมายฝากไปยังเมืองฟิลิปปี จนมาถึงเราทุกวันนี้ และที่สำคัญทำให้เรา เห็นว่าการในสิ่งที่เปาโลได้กระทำมีผลกระทบกับสาวกในสมัยนั้นด้วย พวกสาวกก็แข็งขันที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ด้วยใจกล้าหาญ หรือด้วยแรงจูงใจอะไรต่างๆ ก็เป็นเหตุให้แผ่นดินของพระเจ้าก็ขยายไปมากขึ้นอีก
โดยส่วนตัวของเราๆได้มีแผนงานที่จะทำอะไรให้แผ่นดินของพระเจ้าหรือยัง?

29 พ.ค. 2552

เงื่อนไข 4 ประการ ที่จะได้รับการฟื้นฟูจากพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ : 2 พงศาวดาร 7:1

คำนำ
ใน 2 พงศาวดาร 7:14 กษัตริย์ซาโลมอนได้มอบถวายพระวิหารเสร็จแล้ว บทที่ 6:26-31 คำอธิษฐานของกษัตริย์ซาโลมอน คือ พระเจ้าปิดฟ้าสวรรค์ และไม่ให้มีฝนตก เพราะชาวอิสราเอลทำบาป ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ ท่านขอให้พระเจ้ายกโทษความผิดบาปของชาวอิสราเอล จากคำอธิษฐานของกษัตริย์ซาโลมอน พระเจ้าทรงตอบ ใน 2 พงศาวดาร 7:14
แท้ที่จริงพระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์ (คริสเตียนคือประชากรของพระองค์) ดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ พระเยซูทรงสอนเราว่า ท่านทั้งหลายเป็นเกลือ เป็นความสว่าง แต่คริสเตียนกลับเป็นหิน และเป็นคนที่ชอบเข้าไปอยู่ในความมืด มีส่วนในความมืด ความเฉื่อยชาได้เข้าครอบครองและควบคุมชีวิต อันเนื่องมาจากการยอมให้กับความบาปเข้ามานั่นเอง
ถึงเวลาแล้วที่คริสเตียนต้องหันหน้ากลับมาเพื่อเราจะได้รับการพลิกฟื้นจากพระองค์ กล่าวคือได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริงอันเป็นหนทางแห่งชีวิตที่ได้รับพร และคนเป็นอันมากจะพากันสรรเสริญพระองค์
ดังนั้นเราจะมาพิจารณาถึง เงื่อนไข 4 ประการที่จะได้รับการฟื้นฟูใน 2 พงศาดาร 7:14

ประการที่ 1 ถ่อมตัวลง
1.1 เราต้องถ่อมใจต่อหน้าพระเจ้า (2 พงศาดาร 7:14)
กษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ เขาได้เริ่มเป็นกษัตริย์เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ประมาณ 648 ก.ค.ศ. เมื่อเขาอายุ 16 ปี เขาเริ่มแสวงหาพระเจ้า เขาไม่เคยมีแบบอย่างที่ดีจากบรรพบุรุษ แต่เมื่อเขาอายุ 16 ปี เขาเริ่มทำลายรูปเคารพ แสวงหาพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ เมื่อพระเจ้าให้การฟื้นฟูนั้น พระเจ้าแสวงหาการถ่อมใจ เมื่อเราถ่อมใจต่อหน้าพระเจ้า พระเจ้าจะประทานการฟื้นฟู
1.2 เราต้องถ่อมใจต่อพระวจนะ (2 พงศาดาร 34:14-28)
ขณะที่เขาทั้งหลายกำลังซ่อมแซมพระวิหาร ปุโรหิตฮิลคียาห์ได้พบม้วนหนังสือธรรมบัญญัติ เมื่อกษัตริย์โยสิยาห์ได้ฟังธรรมบัญญัติ เขาร้องไห้และฉีกเสื้อผ้า เขาถ่อมใจต่อพระวจนะของพระเจ้าและสารภาพบาป ถ้าธรรมบัญญัติเป็นหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติคงต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 ชั่วโมง ถ้าหนังสือนั้นเป็นเบญจบรรณ ก็คงจะต้องใช้เวลา 12 ชั่วโมงกว่า กษัตริย์โยสิยาห์ ยอมฟังพระวจนะหลายชั่วโมง เพราะเขาถ่อมใจต่อพระวจนะของพระเจ้า
พระเจ้าแสวงหาผู้ที่ ค้นคว้าพระคำ ภาวนาพระคำ เชื่อฟังพระคำ และประกาศพระคำ เราทั้งหลายผู้เป็นประชากรของพระองค์สมควรหรือไม่ที่จะกระทำอย่างนี้
1.3 เราต้องถ่อมตัวลงต่อผู้นำที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้า (2 พงศาดาร 34:29-33)
เมื่อกษัตริย์โยสิยาห์ และพวกผู้นำทางศาสนาที่ต้องการ รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า เรียกประชาชนมาฟังพระวจนะ และประชาชนก็ยอมเชื่อฟังผู้นำที่พระเจ้าได้ทรงเจิมไว้ และพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บันทึกหรือบอกกับเราว่า มีคนต่อต้านผู้นำในเวลานั้น นั่นก็หมายความว่า ประชากรเชื่อฟังผู้นำและมีส่วนร่วมกับผู้นำ
การเชื่อฟังผู้นำหรือผู้รับใช้พระเจ้าที่ได้การเจิมจากพระเจ้า เพื่อให้กระทำสิ่งดี เราทั้งหลายผู้ที่อยู่ใต้อำนาจการดูแลก็สมควรแล้วที่จะต้องเชื่อฟัง

ประการที่ 2 อธิษฐาน
2.1 เราต้องอธิษฐานด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และยึดพระสัญญาจากพระองค์ เมื่อพระวิญญาณทรงช่วยเหลือเรา และยึดพระสัญญาของพระเจ้า เราจะอธิษฐานอย่างถูกต้อง
2.2 เราต้องอธิษฐานตามพระประสงค์ของพระเจ้า (ยก.5:14)
2.3 เราต้องอธิษฐานด้วยความเชื่อไม่สงสัย (ยก.1:6)
2.4 เราต้องอธิษฐานด้วยใจที่ร้อนรน (กจ.12:5 )
แม้ว่าเราจะไม่มีความสามารถในการฟื้นฟู แต่เมื่อเราอธิษฐานด้วยใจที่ร้อนรนแล้ว พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยและประทานการฟื้นฟูนี้ลงเหนือประชากรของพระองค์อย่างแน่นอน

ประการที่ 3 แสวงหาหน้าของเรา
ประโยคที่ว่า “แสวงหาหน้าของเรา” ซึ่งใน 2 พงศาวดาร.1-16 ก็ได้เขียนถึง 9 ครั้งว่า กษัตริย์อาสาได้แสวงหาพระเยโฮวาห์ ซึ่งมีความหมายว่า “ขอความช่วยเหลือ “ต้องการคืนดีกับพระเจ้า” “อยากใกล้ชิด”
เมื่อเราเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า พระองค์จะทรงสำแดงกับเรามากยิ่งขึ้น เมื่อการฟื้นฟูเกิดขึ้นทุกคนรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเรา เยเรมีย์ 33:3 “จงทูลเราและเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า” และให้มีท่าทีที่ “ขอความช่วยเหลือ” “ต้องการคืนดีกับพระเจ้า” “อยากไกล้ชิด”เพราะนี่เป็นสิ่งที่พอพระทัยพระองค์

ประการที่ 4 หันเสียจากทางชั่วของเรา
คือพระเจ้าต้องการให้ผู้นำและกษัตริย์ผู้เป็นต้นตอของความบาปและความล้มเหลว เป็นต้นตอของการลงโทษจากพระเจ้าที่ตกอยู่กับประชาชน ให้กลับใจละทิ้งความบาปทั้งหมดที่พระองค์ไม่พอพระทัย และให้หันกลับไปดำเนินชีวิตที่ดี และให้เข้าอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์อย่างแท้จริง และกษัตริย์ ซึ่งกษัตริย์ผู้นำทางศาสนาในเวลานั้น ก็ยอมรับเงื่อนไขนี้จากพระเจ้า ให้เรามาดูว่าผู้นำเขาทำอย่างไรในเวลานั้น
4.1 กษัตริย์แห่งยูดาห์ทำลายรูปเคารพ แท้จริงการทำลายรูปเคารพเหมือนกับการทำลายความเชื่อถือศรัทธาของคนทั้งหลาย ซึ่งอาจจะเกิดการต่อต้านจากบุคคลเหล่านี้ และยังเป็นการประกาศตัวเป็นศัตรูกับอำนาจมืด แต่ผู้นำในเวลานั้น ผู้นำทั้งหลายโดยเฉพาะกษัตริย์ ก็กล้าที่จะเลือกและยอมรับเอาวิธีการของพระเจ้าอย่างไม่ขัดขืนเลย
4.2 กษัตริย์อาสา ได้ปลดแม่ของเขาออกจากตำแหน่ง เพราะแม่ของเขาเป็นผู้สร้างรูปเคารพ (2 พงศาวดาร 15:16) การที่จะหยุดยั้งการทำชั่วจากบุคคลที่ใกล้ชิดเป็นเรื่องยากมาก บางครั้งผู้นำก็อาจจะเกรงใจ เกรงกลัวการเสียผลประโยชน์บางอย่าง แต่ผู้นำที่มีสิทธิอำนาจอยู่ในมือเต็มที่ก็ควรจะใช้สิทธิอำนาจนั้นในทางที่พระเจ้าพอพระทัย (ถึงแม้มนุษย์จะไม่พอใจ) และผู้นำต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายความถูกต้องคืออยู่ฝ่ายพระเจ้าหรืออยู่ฝ่ายมนุษย์เนื้อหนังที่จมอยู่ในความบาป อันเป็นศัตรูต่อพระเจ้า
เมื่อเราหันเสียจากทางบาปเหมือนอย่างที่บทเรียนจากอดีตในพระคัมภีร์ ชีวิตของเรานี้ก็จะนำไปสู่ ภาชนะที่สะอาดเป็นผู้ที่จุดชนวนการฟื้นฟูในครั้งนี้ก็เป็นได้

15 พ.ค. 2552

โปรแกรมอ่านพระคัมภีร์ version KJV

ยินดีต้อนรับเราภูมิใจเป็นอย่างมากที่ท่านสนใจพระคัมภีร์ของเรา
Download

14 พ.ค. 2552

share QT.

วันนี้ตื่นมาแต่เช้า ได้อ่านในมานา ใน1 โครินธ์ 2:6-16 พระเจ้าบอกว่าสติปัญญาที่อยู่ในโลกนี้ก็จเสื่อมสูญแต่พระเจ้าทรงบอกว่าพระปัญญาที่มาจากพระเจ้านั้นได้ทรงกำหนด ไว้ก่อนที่จะทรงสร้างโลก
ฉะนั้นเราควรแสวงหาสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า

29 เม.ย. 2552

30 วัน กวีสรรเสริญ‏

30 วัน กวีสรรเสริญ‏

ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2008 ฉันจะร่ายกวีบทใหม่ ถวายแด่พระเจ้าที่รักของฉัน
เพื่ออวดเรื่องกางเขนของพระองค์ เพื่อเยินยอพระเกียรติของพระองค์

วันที่ 1/11/2008 (เสาร์) : ลุมพินีวิลล์ รามคำแหง 44…คอนโดเพื่อน
เขียนกลอนนี้ขึ้นมาขณะดื่มด่ำกับพระคำพระเจ้า และระลึกถึงสิ่งที่ อ.อานุภาพ วิชิตนันท์ ได้เทศนาในค่ายคริสตจักรนิมิตใหม่ ที่พัทยา ว่าด้วยพระมรรคาของพระเจ้า ฉันจึงอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงนำมรรคาของฉัน
[สดด.25:4] ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์รู้จักพระมรรคาของพระองค์ ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์
 ขอทรงนำมรรคาข้าพระองค์
ข้าแต่พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดนำมรรคาข้าวันนี้
โปรดให้ข้าอิ่มบริบูรณ์ด้วยของดี ให้ไปดีมาดีในแผ่นดิน
ทุกย่างก้าวรับบัญชาจากพระองค์ ทุกย่างก้าวถ่อมใจลงรับใช้พระคริสต์
ทุกย่างก้าวยอมจำนนสุดวิญญาณจิต ทุกย่างก้าวถวายอุทิศแด่พระองค์

วันที่ 2/11/2008 (อาทิตย์) : คจ.นิมิตใหม่…
พักสงบจิตใจอยู่ในนิเวศของพระเจ้า นมัสการร่วมกับพี่น้องในคริสตจักร และแล้วก็มีผู้เชื่อใหม่ก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อขอรับมหาสนิทร่วมกับพวกเรา
[ลก.22:19-20] พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า "นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา" เมื่อรับประทานแล้ว จึงทรงหยิบถ้วยกระทำเหมือนกันตรัสว่า "ถ้วยนี้ซึ่งเทออกเพื่อท่านทั้งหลายเป็นคำสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา”
 สู่มหาสนิท
ข้าขอติดตามองค์ผู้เป็นเจ้า โดยรับเอาขนมปังและน้ำองุ่น
ข้าขอเข้าสู่ครอบครัวอันอบอุ่น รับพระคุณแห่งชีวิตนิรันดร์
ขอแทรกตัวอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ ขอยืนหยัดอยู่ในอุ้งพระกร
ขอคุกเข่าวันทากราบวิงวอน ขอรับการตีสอนจากพระองค์
ขอมีส่วนในงานพันธกิจ ขออุทิศทั้งสิ้นน้อมถวาย
ขอจำนนแด่พระองค์ทั้งใจกาย ตราบชีพวายไม่หายห่างจากพระองค์
ขอสรรเสริญพระองค์ชั่วชีวิต ติดสนิทกระทำตามพระประสงค์
ขอรอคอยพระเจ้าด้วยสัตย์ซื่อตรง ขอมั่นคงดำรงค์รักพระองค์นิรันดร์
วันที่ 3/11/2008 (จันทร์) : บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด
พี่บุญลวีส่งหนังสือ “จงรอคอยพระเจ้า” มาให้อ่าน อ่านแล้วซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก และในขณะเดียวกันก็ต้องรีบกลับใจ ที่ผ่านมาฉันรีบร้อน และไม่นิ่งสงบรอคอยพระเจ้า…ฉันต้องขอรับพระคุณจากพระเจ้า ขอทรงโปรดให้ฉันนั้นจดจ่อและคอยท่าพระองค์แต่เพียงองค์เดียว
[สดด.62:1] จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
[สดด.62:5] จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
 จงสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว
จิตใจของข้าเอ๋ย จงสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว
จิตวิญญาณของข้าเอ๋ย จงนิ่งรอคอยพระเจ้าแต่องค์เดียว
สองมือของข้าเอ๋ย จงยกชูขึ้นสรรเสริญพระเจ้าแต่องค์เดียว
สองเท้าของข้าเอ๋ย จงเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าแต่องค์เดียว
สองหูของข้าเอ๋ย จงสงบต่อพระสุรเสียงของพระเจ้าแต่องค์เดียว
สองตาของข้าเอ๋ย จงพินิจพิจารณาความงามของพระเจ้าแต่องค์เดียว
ปากของข้าเอ๋ย จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระเจ้าแต่องค์เดียว
ร่างกายของข้าเอ๋ย จงอุทิศเพื่อพันธกิจแด่พระเจ้าแต่องค์เดียว
ชีวิตของข้าเอ๋ย จงดำรงอยู่เพื่อนมัสการพระเจ้าแต่องค์เดียว
ข้าพร้อมก้าวสู่หลักชัยในพระคริสต์ พร้อมทุ่มเทอุทิศแด่พระเจ้า
พร้อมเป็นเกลือเป็นความสว่างแก่โลกเรา พร้อมคุกเข่า พร้อมก้าวเดิน พร้อมหยัดยืน
ข้ายำเกรงพระเจ้าองค์อุปถัมภ์ ทรงชี้นำ ทรงเสริมกำลังให้กับข้า
ข้าซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกพระบิดา ข้าคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว



วันที่ 4/11/2008 (อังคาร) : บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด…เวลาเที่ยงกว่าๆ ขณะฝนตก
ฉักรักสายฝน ฉันชะโงกหน้าไปทักทายสายฝน พระเมตตาหลั่งมาดุจฝนอันชี่นใจ…พี่บุญลวีโทรมาทักทาย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของน้องสาว พร้อมทั้งเล่าสิ่งละอันพันละน้อยสู่กันฟัง…ขำๆ กันไป
[ฮชย.6:3] ให้เรารู้จัก ให้เราพยายามรู้จักพระเจ้า การที่พระองค์เสด็จออกก็แน่นอนเหมือนอรุณ พระองค์จะเสด็จมาหาเราอย่างห่าฝน ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน"
 ฝนตกชุกปลายฤดู
สายฝนหล่น โปรยปราย ดุจสายรัก
ชุ่มฉ่ำนัก พระเมตตา หลั่งไหล
พระคุณพระเจ้า รินรดมา แสนชื่นใจ
ฝนตกชุก ฤดูปลาย มาเยี่ยมเยียน

พระพรพระเจ้า เทมา ดังห่าฝน
หลั่งไหลสู่วิสุทธิชน ครบถ้วนหน้า
พระเจ้ารัก เราทุกคน ดุจแก้วตา
ประทานชีวา ประทานพระคุณ ประทานพระพร

ฉันหลงรัก สายฝน ของพระเจ้า เตือนให้เฝ้า นับพระพร อันอุดม
เตือนให้นึก ถึงความ สนิทสนม เตือนให้ประพฤติ เหมาะสม เป็นลูกพระองค์

วันที่ 5/11/2008 (พุธ) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 4.30 น.
พระเจ้าทรงรักฉันมาก มากเกินความเข้าใจของฉัน จนทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันรักพระองค์น้อยเกินไป ฉันจึงอธิษฐานขอให้ฉันได้รักพระองค์มากยิ่งขึ้น ลึกซึ้งขึ้นทุกขณะ และขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับฉันตลอดไป
[1คร.8:3] แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น
 ข้าขอรักพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โปรดนำข้าไปถึงซึ่งพระคำ โปรดให้ข้าดื่มด่ำในความหมาย
โปรดเบิกดวงตาข้า วิญญาณใจ ให้ข้าได้สัมผัสพระทัยอันละมุน
โปรดให้ข้ารักพระองค์ลึกซึ้งขึ้น ให้ชุ่มชื่น เอ่อล้น อิ่มเอมรัก
โปรดให้ข้าได้พบประสบพระพักตร์ ให้ประจักษ์รักจับใจในพระองค์

รักพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ไม่สิ้นสุด มหาสมุทรมิอาจเทียบรักนั้นได้
พระดำริสุดประเสริฐไพศาลใหญ่ มากยิ่งกว่าเม็ดทรายในนที
โอ้ พระองค์ โปรดเสด็จมาใกล้ข้า โปรดยื่นพระหัตถามาเหนือข้า
โปรดโอบกอดข้าไว้ในพระอุรา โปรดรักษาข้ามิให้เจ็บใจกาย

วันที่ 6/11/2008 (พฤหัสบดี) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 6.20 น.
จิตใจของฉันยังคงดื่มด่ำกับความรักของพระเจ้าไม่รู้จบ นับวันก็ยิ่งลึกซึ้งและอัศจรรย์ใจมากขึ้น พระองค์ทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อคนบาปอย่างฉัน พระเยซูทรงทนทุกข์โดยปราศจากความผิด พระเยซูทรงยอมพลีพระชนม์เป็นผู้ไถ่บนไม้กางเขนเพื่อคนที่ไม่คู่ควรอย่างฉัน พระเจ้าทรงให้ชีวิตนิรันดร์แก่ฉัน ทรงประทานพระพรมากมายแก่ฉัน ซึ่งฉันคงนับได้ไม่หมด หากจะนับก็มากกว่าเม็ดทราย มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า มากกว่าผงคลีดิน มากกว่าอะไรทั้งสิ้นในโลกนี้มารวมกัน…ฉันคงไม่สามารถพรรณนาความดื่มด่ำและความอัศจรรย์ใจได้ทั้งหมด แต่ฉันก็อัศจรรย์ใจในความรักของพระเจ้าอยู่นั่นเอง
[อสย.43:4] เพราะว่าเจ้าประเสริฐในสายตาของเรา และได้รับเกียรติและเรารักเจ้า เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า ให้ชนชาติทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า
 รักอัศจรรย์
รักพระเจ้าสว่างจ้าในดวงจิต รักทรงฤทธิ์อัศจรรย์ชวนฉงน
รักกระจ่างฉายแสงไปทั่วสากล เสรีชนอิ่มเอมใจในรักพระองค์
รักพระองค์มากล้นมิอาจวัด สุดชี้ชัดความงดงาม ความยิ่งใหญ่
เป็นความรักสนิทสนมสุขสมใจ เป็นดวงไฟในดวงใจ รักนิรันดร์
ทรงปิติยินดีในตัวเรา ทรงปรารถนาให้เราสนิทสนม
ทรงเฝ้ามองดูเราด้วยชื่นชม ทรงสะสมพระพรไว้มอบให้เรา




วันที่ 7/11/2008 (ศุกร์) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 5.50 น.
อันความรักและมหิทธิฤทธิ์ขององค์จอมกษัตริย์นั้นยิ่งใหญ่ตระการตา ชวนให้หลงไหลและตื่นตะลึงอยู่ร่ำไป ฉันเองก็ตกหลุมรักพระคริสต์จนถอนตัวไม่ขึ้น ฉันตื่นตะลึงในความงาม การทรงสร้าง และความรักของพระองค์ ฉันรักพระองค์ ในขณะเดียวกันก็อดที่จะยำเกรงพระองค์ไม่ได้ พระองค์เป็นทุกสิ่งในชีวิตของฉัน
[สดด.33:8] ให้แผ่นดินโลกทั้งสิ้นยำเกรงพระเจ้า ให้บรรดาชาวพิภพทั้งปวงยืนตะลึงพรึงเพริดต่อพระองค์
 ตื่นตะลึง
ตื่นตะลึงยิ่งนักรักพระคริสต์ สละชีวิต เป็นผู้ไถ่ บนไม้กางเขน
พระทรงฤทธิ์ปลดเราให้พ้นบาปเวร รักชัดเจน รักยอมพลี เราเป็นหนี้พระองค์

ตื่นตะลึงพรึงเพริศการทรงสร้าง ทรงจัดวาง ทรงตรัสสั่ง ทรงสร้างสรรค์
พระทรงสร้างสรรพสิ่งสารพัน เอนกอนันต์ทรงจัดเตรียมมอบแด่เรา
ทรงสร้างฟ้า สวรรค์ และแผ่นดิน สร้างทรัพย์สิน บรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหว
ทรงสร้างน้ำ สร้างป่าเขา ลำเนาไพร ดาวน้อยใหญ่ สุริยัน และจันทรา

ตื่นตะลึงการทรงสร้างวิเศษสุด สร้างมนุษย์ขึ้นมาตามพระฉาย
ทรงกำหนด ทรงสร้างหญิงและชาย ทรงสร้างกาย ทรงสร้างใจ สร้างชีวี
ทรงเลี้ยงดูให้มนุษย์นั้นเติบใหญ่ ทรงนำไปในมรรคาราบวิถี
ทรงห่วงใยทรงใส่ใจทุกวินาที ในฤดีตื่นตะลึงพรึงเพริศเอย










วันที่ 8/11/2008 (เสาร์) : คริสตจักรตราด ระหว่างการนมัสการในรายการค่ายเด็ก เวลา 18.45 น.
พระเจ้าประทานโอกาสให้ไปหนุนใจพี่ป๊อบเนื่องในโอกาสรับบัพติศมา เราสองพี่น้องนักเดินทางคือ พี่อิ๋วกับฉันก็เดินทางในเช้าวันเสาร์ ไปถึงที่เมืองตราดในช่วงบ่าย เรามีช่วงเวลาแห่งการสามัคคีธรรมที่วิเศษ ทั้งตอนเย็นเรายังได้นมัสการร่วมกับเด็กๆ ในค่ายเด็ก ของคริสตจักรตราดอีกด้วย… ระหว่างการนมัสการ ฉันสัมผัสได้ถึงพระสิริอันบรรเจิดแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า สัมผัสในวิญญาณถึงความโอ่อ่าตระการตาของพระราชาผู้ทรงพระสิริเลิศ
[สดด.72:19] สาธุการแด่พระนามรุ่งโรจน์ของพระองค์เป็นนิตย์ ขอพระสิริของพระองค์เต็มโลก อาเมน และ อาเมน
 แสงพระสิริ
พระสิริพระเจ้างามเจิดจรัส กระจ่างชัดแพรวพราวสกาวแสง
งามหยดย้อยพริ้งพรายประกายสำแดง ตะลึงแลกระแสแสงละมุนละไม
แสงใดใดไหนจะเทียบเปรียบพระเจ้า แสงนพเก้ามณีจินดาหาเทียบไม่
แสงสุรีย์แสงจันทราผ่องอำไพ ไฉนเลยจะเทียบได้แสงพระองค์
พระสิริส่องแสงสู่โลกหล้า แสงฤทธาแวววาวตาสูงค่ายิ่ง
แสงบริสุทธิ์เปล่งรัศมีสู่สรรพสิ่ง แสงสัตย์จริง แสงสง่าคือบิดาเรา

วันที่ 9/11/2008 (อาทิตย์) : คริสตจักรตราด ระหว่างการนมัสการวันอาทิตย์ เวลา 10.39 น.
ในช่วงของการนมัสการร่วมกับพี่น้องที่ คริสตจักรตราด พระวิญญาณประเสริฐสถิตอยู่ท่ามกลางพวกเรา ความรักของพระองค์โอบล้อมเราไว้ ทุกหัวใจได้สัมผัสถึงน้ำพระทัยซาบซึ้งอิ่มเอม และสัมผัสถึงอ้อมพระกรแห่งรักจากพระองค์… อ้อมกอดของพระองค์เป็นเช่นไรนะ หัวใจของฉันเฝ้าไถ่ถามและค้นหา เมื่อร้องเรียก พระองค์ก็ทรงประทานให้ อ้อมกอดรักแห่งพระบิดา องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา! อ้อมกอดแห่งรักของพระองค์จะติดตามเราไปตลอดคืนวันชีวิตของเรา จะนำพาเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราช นำเราไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวสดงดงาม
[ฉธบ.32:10] พระองค์ทรงพบเขาในแผ่นดินทุรกันดาร ในที่เปลี่ยวเปล่ามีแต่เสียงเห่าหอน พระองค์ทรงโอบล้อมเขาไว้ และทรงดูแลเขาอยู่ ทรงรักษาเขาไว้ดังแก้วพระเนตรของพระองค์
 อ้อมกอดรักพระเจ้า
อ้อมเอยอ้อมกอดรัก อบอุ่น
อ้อมไอละมุนละไมรัก หลงไหล
อ้อมพระทรวงซาบซึ้งรัก ปักใจ
อ้อมพระทัยบริสุทธิ์ งดงาม
อิ่มเอมรักอ่อนหวาน อบอวล
กรุ่นกลิ่นนวลหอมซึ้ง ซาบซ่าน
อ้อมกอดรักของพระเจ้า ชื่นบาน
เป็นพระพรในวิญญาณ รื่นรมย์เอย
วันที่ 10/11/2008 (จันทร์) : บนรถตู้ ขณะเดินทางไปทำงาน รถติดอยู่หน้าจุฬา…เวลา 8.15 น.
บ่อยครั้งที่ฉันดื้อดึงและอวดดี บ่อยครั้งที่ฉันยอมวางมือกับบางสิ่งบางอย่างเพื่อมอบไว้ในการทรงนำของพระเจ้า แต่ฉันยังไม่ได้วางใจอย่างจริงจังเต็มร้อย ฉันขอพระเจ้าที่ฉันจะถ่อมใจลงทั้งหมดทั้งสิ้น วางมือและวางใจพระองค์อย่างสิ้นสุดกำลังความคิด สุดวิญญาณใจ
[ยก.4:10] ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น
 ถ่อมใจลง
ถ่อมใจลงต่อองค์ผู้เป็นเจ้า ถ่อมใจเรารับเอาการตีสอน
ถ่อมใจรักน้อมความคิดสู่พระบิดร ถ่อมใจลงกราบวิงวอนขอถ่อมใจ
ให้ลูกน้อมนำความคิดทุกประการ มอบแผนการให้พระองค์ทรงนำให้
ยอมจำนนทั้งความคิดและจิตใจ เพื่อเป็นตามน้ำพระทัยของพระองค์

วันที่ 11/11/2008 (อังคาร) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 5.15 น.
เมื่อวานตอนเย็นขณะเดินเข้าคอนโด ฉันกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด แม้จะเป็นเพียงความเหงาชั่วขณะที่ได้คงอยู่เพียงหน่อยหนึ่ง แต่นั่นกลับทำให้ฉันนำมาคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงโปรดให้เรามีอารมณ์ พระเยซูเองก็ทรงมีอารมณ์รัก โกรธ เสียพระทัย และพระบิดาก็ทรงสร้างเรามาให้มีอารมณ์เช่นนั้น พอความเหงาแล่นเข้ามาในความรู้สึก ฉันก็ต้องรีบค้นหาว่าพระเจ้ากำลังจะบอกอะไร เนื่องจากว่าฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยเหงา มีเพื่อนฝูงมาก มีเรื่องให้ทำตลอด จนไม่มีเวลาเหงา และที่สำคัญฉันมีพระบิดาที่รัก ฉันมีพระเยซูเป็นพี่ชาย เป็นสหายเลิศของฉัน…แต่เมื่อความเหงาเกิดขึ้น ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันรู้สึกเช่นนั้น เพื่อที่ว่าฉันจะได้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ทำให้ฉันต้องวางความรู้สึกนั้นไว้ที่พระเจ้า ฉันต้องพึ่งพระวจนะของพระองค์ในทุกช่วงเวลาของความคิด ทุกความรู้สึก
[มธ.4:4] … มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า
 บำรุงชีวิตด้วยพระวจนะ
ยามใดหัวใจเหงาหรือเศร้าจิต ยามใดที่ครุ่นคิดด้วยบอบช้ำ
ยามใดที่เป็นทุกข์หนักสุดระกำ ยามนั้นพระคำพระเจ้าเฝ้าประโลม
ยามใดที่ท้อแท้หรือสิ้นหวัง ยามใดที่หมดกำลังจะสู้ใหม่
ยามใดที่ชีวิตมีแต่แพ้พ่าย ยามนั้นไซร้พึ่งพระคำนำก้าวเดิน
ยามใดที่ผิดพลาดหรือสูญเสีย ยามใดที่อ่อนเปลี้ยหรือหมดหวัง
ยามใดที่หมดสิ้นแทบทุกอย่าง ยามนั้นวางภาระพึ่งพระคำ
ยามใดที่ชีวีสุขหรรษา ยามใดที่ปรีดาสุขสุขี
ยามใดที่รื่นรมย์สมฤดี ยามนั้นที่พระคำนำชูใจ


อย่าได้ขาดการดื่มด่ำพระวจนะ อย่าได้ละการตีสอนจากพระเจ้า
อย่าได้ลืมท่องพระคำทุกค่ำเช้า อย่าได้ลืมน้อมนำเอามาใส่ใจ
อย่าได้ลืมกระทำตามพระบัญญัติ อย่าได้ลืมปฏิบัติเปลี่ยนแปลงใหม่
อย่าได้ลืมจดจำพระคำตลอดไป อย่าได้ลืมพระบัญญัติทั้งหลายของพระองค์

วันที่ 12/11/2008 (พุธ) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 4.25 น.
อรุณรุ่งเบิกฟ้า นกกาแว่วเสียง ฉันพบพระจันทร์โตเต็มดวง…วันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำคะนองเต็มตลิ่ง เป็นวันลอยกระทงของชาวไทย ฉันชอบประเพณีอันดีงามของการลอยกระทง แต่ปีนี้ฉันไม่คิดจะลอยกระทง…ฉันตะลึงกับดวงจันทร์กลมโตที่ส่องแสง พลันฉันก็ระลึกถึงพระผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสร้างฟ้า สวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในนั้น เช้านี้ฉันจึงพลิกไปที่ปฐมกาลบทที่ 1 อีกครั้ง และอัศจรรย์กับการทรงสร้างของพระบิดาอีกครั้งเช่นกัน
[ปฐก.1:16] พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆ ด้วย
 ดวงจันทร์
ดวงจันทร์กลมเปล่งรัศมีสีนวล ชวนให้หวลระลึกถึงพระผู้สร้าง
ทรงดำริทรงดำรัสทรงจัดวาง สรรพสิ่งทุกอย่างปรากฎงาม
ทรงสร้างโลกภายในหกวัน ทรงหยุดพักการงานในวันที่เจ็ด
เพียงตรัสสั่งสรรพสิ่งก็สำเร็จ ทรงสร้างเสร็จ ตรัสว่าดี พอพระทัย
ทรงสร้างเธอและฉันตามฉายา ให้ครอบครองฝูงปลาสัตว์น้อยใหญ่
ให้ดูแลธรรมชาติทรงสร้างไว้ ให้เราได้กรรมสิทธิ์โดยชอบธรรม
เราจึงควรเอาใจใส่โลกใบนี้ ถวายองค์ภูมีตามรับสั่ง
ควรรักษาสรรพสิ่งไว้สุดกำลัง เพื่อรุ่นหลังได้ครอบครอง สรรเสริญพระนาม

วันที่ 13/11/2008 (พฤหัสบดี) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 5.35 น.
ลมหนาวโชยแผ่วเบามาสัมผัสร่างกายและจิตใจ ชวนให้ระลึกถึงองค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราไม่เคยเห็นพระเจ้า แต่เราสามารถสัมผัสรักจากพระองค์ สัมผัสการทรงสถิตของพระองค์ เห็นสิ่งอัศจรรย์ทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างได้ ลมละมุนที่พัดมาจึงเป็นเหมือนการสัมผัสอีกแบบหนึ่งจากองค์บิดา ทรงปรารถนาที่จะชิดใกล้และอวยพรเรา และทำให้เราตื่นตะลึงในการทรงสร้างอันแสนวิเศษของพระองค์อีกครั้ง ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทรงกำหนดฤดูกาล ทรงให้ทุกสิ่งมีวาระของมัน และมนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงประสงค์ให้เราเป็นลูกที่เกิดผลตามฤดูกาลของเรา ให้เราเกิดผลในทุกสิ่งที่เรากระทำ ในทุกกิจกรรมของเรา ในทุกการงานของเรา ในทุกการรับใช้ของเรา ในทุกวาระของเรา ในทุกฤดูกาลของเรา [สดด.1:3] เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น
[ปญจ.3:1] มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
[ปญจ.3:11] พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุนิรันดรกาลไว้ในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังมองไม่เห็นว่า พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดปลาย
 เหมันต์หรรษา
โอ้เหมันต์หันมาสู่ฟ้าไทย ฤดูใหม่เวียนผ่านมาอีกคราหนึ่ง
ฤดูใหม่วาระใหม่งามตราตรึง ตื่นตะลึงเหมันตฤดู
มีวาระสำหรับสรรพสิ่ง ปรากฎจริง ฤดูกาล หรรษา
ทุกฤดูอยู่ใต้หัตถ์องค์บิดา งามสง่าเกิดผลงามตามฤดู

ทุกฤดูเปี่ยมฤดีเปรมปรีด์สุข เราสนุกสุขสันต์หรรษา
ทุกฤดูเป็นพระพรจากบิดา ประชากรทั่วโลกาสรรเสริญพระนาม

วันที่ 14/11/2008 (ศุกร์) : คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธิ์…เวลา 6.04 น.
เช้านี้เฝ้าเดี่ยวด้วยหนังสือ “อิ่มเอมรักจากพระเจ้า” โดย รูธ ไมเยอร์ ในหัวข้อ “พระองค์เป็นยอดปรารถนา”…ใช่แล้ว พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ สัตย์ซื่อ เปี่ยมด้วยรัก พระองค์ทรงสมบูรณ์ดีพร้อมทุกประการ น้ำพระทัยของพระองค์ก็ล้ำลึกเกินความเข้าใจของเรา พระหัตถกิจของพระองค์ก็อัศจรรย์สุดล้ำพรรณนา เราจึงกลั่นหัวใจ เทใจถวายแด่พระองค์…พระองค์เป็นสุดยอดปรารถนาทั้งหมดทั้งสิ้นในชีวิตของเรา
[สดด.73:25] นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาใดใดในโลก
 พระองค์เป็นสุดยอดปรารถนา
พระองค์เป็นสุดยอดปรารถนา เป็นราชาผู้ดีเลิศ น่าเทิดทูน
ความรักของพระองค์เต็มสมบูรณ์ มิสิ้นสูญ อัศจรรย์ ประเสริฐจริง
ข้าตกหลุมรักองค์พระเยซู พินิจดูความงามเลิศยิ่งใหญ่
ทรงล้ำเลิศสูงค่ากว่าสิ่งใด ข้าเทใจ ขออยู่ในพระทัยพระองค์

27 เม.ย. 2552

คำพยาน โรส สรินทิพย์

พระเจ้าไม่เป็นอย่างมนุษย์

พระเจ้าไม่เป็นอย่างมนุษย์
“...ให้คนอธรรมละทิ้งทางของเขา และคนไม่ชอบธรรมสละความคิดของเขา ให้เขากลับยังพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกรุณาเขา และยังพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์จะทรงอภัยอย่างล้นเหลือ เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา” พระเจ้าตรัสดังนี้ อิสยาห์ 55 : 7-8
ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เรามักจะชอบอกชอบใจเมื่อเห็นคนอื่นได้รับความทุกข์เดือดร้อนในชีวิต เราดีใจที่ได้เห็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่ไม่สัตย์ซื่อถูกตรวจสอบพบว่าใช้วัสดุไม่ถูกต้องถูกตำหนิและต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เราดีใจที่คนคดโกงฉ้อฉลถูกขับไล่ออกจากธุรกิจ เราปรบมือแสดงความดีใจเมื่อผู้พิพากษาได้ตัดสินลงโทษให้จำคุกผู้ร้ายซึ่งได้กระทำความผิด สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์
อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนกับพวกเรา และพระองค์ไม่มีความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นผู้ที่กระทำผิดได้รับการลงโทษ ทั้งนี้เพราะว่าความคิดของพระเจ้านั้นสูงกว่าและพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีกว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้คนที่กระทำความผิดได้กลับใจเสียใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงและได้รับการแก้ไขใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง เราทุกคนต่างก็จะต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญตามการกระทำของเรามิใช่หรือ
เราต้องการจะเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้น ...จนกว่าเมื่อความยุติธรรมนั้นจะเกิดกับเราในเวลาที่เราต้องยืนต่อหน้าบังลังก์ของพระเจ้า ในเวลานั้นเราต้องการความเมตตากรุณาไม่ใช่ความยุติธรรม เราต้องการที่จะให้นักโทษได้รับโทษตามการกระทำของเขา จนกว่าจะถึงเวลาที่เราเองกลายเป็นนักโทษจำเพาะพระพักตร์ พระเจ้าบริสุทธิ์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราที่พระเจ้าไม่ได้เป็นเหมือนเรา เมื่อเราพบว่าเป็นการยากที่จะให้อภัย พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะช่วยเหลือผู้ที่กลับใจเสียใหม่ เราสามารถไว้วางใจในพระเจ้าที่จะยกโทษให้แก่เรา ถ้าเรากลับใจอย่างแท้จริงและทูลขออภัยโทษ พระเจ้าไม่ได้เป็นอย่างมนุษย์เพราะพระองค์ไม่ทรงคิดที่จะแก้แค้นเลย
พระเจ้าโปรดช่วยข้าพระองค์ให้เข้าใจว่าความคิดของพระองค์นั้นไม่เหมือนกับความคิดของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะกลับใจจากความบาปต่าง ๆ ที่ได้กระทำไป และให้รู้สึกถึงความรักและการอภัยโทษของพระองค์ในชีวิตของข้าพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

26 เม.ย. 2552

คนที่เอดส์เป็นแล้วหาย

พระเจ้ามีจริงไหม?

พระเจ้ามีจริงไหม?
ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า มนุษย์เราไม่มีทางที่จะพิสูจน์พระเจ้าได้เลย เพราะอะไรน่ะหรือ?..ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่เหนือความคิดของเรา พระองค์ทรงใหญ่กว่าเรา พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเรา เราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ ถ้าเช่นนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่า พระเจ้ามีจริง.... ก่อนอื่นมีอยู่ 3 ประการที่เราควรจะทราบ
1.ถ้าพระเจ้าไม่สร้างมนุษย์จะรู้อะไรได้?
2.ถ้าพระเจ้าสร้างแต่ไม่นำออกมาให้มนุษย์เห็นมนุษย์จะรู้อะไรได้?
3.ถ้าพระเจ้าสร้าง เอาออกมาให้เห็น แต่ถ้าพระองค์ไม่สร้างสติปัญญาให้แก่มนุษย์ มนุษย์จะรู้อะไรได้?
"เท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจของเขาทั้งหลายแล้ว...เมื่อเขาเห็นสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง...เขาทั้งหลายไม่มีข้อแก้ตัวเลยว่าจักรวาลนี้มีผู้สร้าง"(โรม1.19-21)
ในท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น พระเจ้าทรงบอกอย่างชัดเจนว่า มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการทรงสร้างของพระเจ้า ....ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น...นั่นก็เพราะว่ามนุษย์นั้นถูกสร้างให้เหมือนกับพระเจ้า แต่ไม่ใช่เป็นพระเจ้า (ถ้ามีคนว่าผมหน้าเหมือนลิงผมอาจจะไม่ค่อยชอบ แต่อย่างน้อยผมก็ยังดีใจว่าผมไม่ใช่ลิง แต่ถ้ามีคนบอกว่าผมหน้าเหมือนคน คำพูดนี้ผมไม่ชอบแน่ๆ ..ทำไมน่ะหรือ? ...ก็เพราะผมเป็นคนอยู่แล้วทำไมต้องเหมือนด้วย) และไม่เพียงแต่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์ให้เหมือนกับพระองค์เท่านั้น พระองค์ยังทรงได้สร้างสติปัญญาให้กับมนุษย์ที่จะสามารถรู้เรื่องของพระองค์ได้อีกด้วย และเพราะเหตุนี้ทำให้มนุษย์ไม่มีข้อแก้ตัวได้เลยว่า จักรวาลนี้มีผู้สร้าง คนที่เถียงหรือไม่ยอมรับว่าโลกนี้มีผู้สร้าง พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้บอกว่า เขาก็เป็นคนโง่ ไร้เหตุผลและอยากเถียงเพื่อเอาชนะ(สดุดี 14.1)...ทำไมพระคริสต์ธรรมคัมภีร์จึงบอกเช่นนี้....นั่นเพราะว่าในท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวที่สามารถรับการเปิดเผยของพระเจ้าได้
ถ้าผมจะถามคุณว่าคุณเชื่อไหมว่ารอบตัวของคุณมีคลื่นวิทยุ?..คุณคงตอบว่าเชื่อ..และถ้าผมถามต่อว่าระหว่างแก้วน้ำกับเครื่องรับวิทยุสิ่งไหนสามารถที่จะรับและตอบสนองคลื่นวิทยุได้?...คำตอบก็คือวิทยุอย่างแน่นอน..เช่นเดียวกันหลังจากที่พระเจ้าสร้างโลกนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงเปิดเผยเรื่องของพระองค์(ส่งคลื่น) และก็มีเพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถจะรับคลื่นและตอบสนองคลื่นของพระเจ้าได้ แล้วคลื่นของพระเจ้าที่ส่งมานั้นมีจุดประสงค์อะไร?
1.เพื่อให้มนุษย์ทั่วโลกเถียงไม่ได้เลยว่า จักรวาลและโลกนี้มีผู้สร้าง
ถ้าคุณเดินเข้าไปในป่าไปพบกระดาษยับๆแผ่นหนึ่งที่มีรูปวาดที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่(สงสัยว่าจะเป็นฝีมือเด็กไม่เกิน 10 ขวบวาด)ซึ่งเป็นภาพวาดของวิวหรือทิวทัศน์ของธรรมชาติ มีดวงอาทิตย์ มีนก ภูเขา ต้นไม้ ฯลฯ คุณก็สามารถเข้าใจได้เลยทันทีว่า รูปนี้มีคนวาด ถึงแม้คุณจะมองไม่เห็นคนวาดก็ตาม คุณสามารถเข้าใจได้ว่าถ้าจะเอาแผ่นกระดาษขาวเปล่าๆมาจ้องสักสิบหรือร้อยหรือล้านล้านปีก็ไม่มีทางเกิดรูปวิวเหล่านี้ได้ ถ้ามันจะเกิดรูปวิวเหล่านี้ได้ นั่นแสดงว่าจะต้องมีคนวาดมันขึ้นมาอย่างแน่นอน(และถ้ามีคนมาเถียงคุณว่า รูปนี้ไม่มีคนวาดแต่มันบังเอิญเกิดขึ้นเอง คุณจะเชื่อเขาหรือ? คนที่เถียงว่ารูปนี้เกิดขึ้นเองก็มีแต่คนโง่ คนบ้า คนไร้เหตุผลและเถียงเพื่อเอาชนะเท่านั้น) ขนาดรูปที่ไม่สวยที่คุณพบนั้นยังเกิดขึ้นเองไม่ได้แต่ต้องมีคนวาดขึ้นมา คุณลองคิดดูซิครับว่า แล้วจักรวาลและธรรมชาติอันงดงามที่สวยกว่ารูปที่คุณเห็นหลายร้อยหลายพันเท่ามันจะเกิดขึ้นเองได้อย่างไร..แน่นอนมันเกิดขึ้นเองไม่ได้แต่ต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมา ..คุณเข้าใจได้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีตาอยู่ในสมอง(ปัญญาจารย์ 2.14) นั่นก็คือความเข้าใจหรือสติปัญญาในการเข้าใจ เมื่อคนฝรั่งเขาเข้าใจบางสิ่งเขาจะพูดว่า I see.ถ้าคุณถามเขาว่า What do you see?เขาก็ตอบว่า No..I don't see anything. แล้วคุณก็ถามว่าWhy don't you say "I understand"?เขาก็ตอบว่า Yes..Yes..I see....I see. จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นว่า คนฝรั่งมีความคิดที่ว่า "ถ้าเขาเข้าใจก็เท่ากับตาของเขามองเห็นแล้ว".....เช่นเดียวกัน ถึงแม้เรามองไม่เห็นพระเจ้าผู้ทรงสร้าง แต่เมื่อเราเห็นสรรพสิ่งในธรรมชาติแล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จักรวาลนี้มีผู้สร้าง....คุณ see แล้วหรือยัง?
2.จุดประสงค์ที่สองในการส่งคลื่นมาให้มนุษย์ก็เพื่อให้มนุษย์ไม่มีข้อแก้ตัวเลยว่าพระเจ้ามีกฏบริสุทธิ์ให้กับเขา และเขาจะต้องรับผิดชอบต่อกฏนั้น(โรม 2.15-16) มอเตอร์ไซค์ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อให้ขับขี่ไม่ใช่นำมาแบกถ้าใครนำมาแบกมันขัดวัตถุประสงค์ที่มันถูกสร้างมาแน่ๆ เช่นเดียวกันมนุษย์เราถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ให้เขาประกอบการดี ถ้าหากเขาใช้ผิดวัตถุประสงค์เขาจะรู้สึกถึงการขัดแย้งภายในทันที พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และมีกฏให้แก่เขา และพระองค์ทรงให้มนุษย์ตัดสินใจได้เองว่าจะทำตามกฏของพระเจ้าหรือไม่(รายละเอียดเราจะพูดกันในหัวข้อต่อไป)
หลังจากที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ได้ใส่กฏและจิตสำนึกผิดชอบลงไปในมนุษย์ จิตสำนึกผิดชอบนี้มันจะเป็นพยานและเป็นเหมือนสัญญาณกันขโมยให้แก่มนุษย์ เมื่อมนุษย์ทุกคนกำลังเผชิญเหตุการณ์ที่จะต้องเลือกระหว่างดีและชั่ว จิตสำนึกผิดชอบของเขาจะทำงานทันที โดยมันจะชี้ให้เขารู้อยู่แก่ใจว่า อย่าเลือกในสิ่งที่ผิด(ทุกคนจะรู้สึกถึงการเตือนนี้ได้ โดยที่หัวใจเขาจะเต้นเร็วผิดปกติ) แต่มนุษย์มีสิทธิ์เลือก ถ้าเขาเลือกที่จะฟังมัน ไม่ไปทำผิด เขาจะรู้สึกภูมิใจและรู้สึกดี แต่ถ้าหากเขาเลือกที่จะไม่ฟังมันและไปทำในสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิด เขาจะรู้สึกถึงการขัดแย้งภายในจิตใจของเขาทันที และถ้าเขาเถียงกับมันว่า "ฉันไม่ผิดโว๊ย!" มันก็จะตอบลึกๆใต้จิตสำนึกของเขาว่า "ถ้าคุณไม่ผิด..ทำไมต้องกลัว ..ทำไมต้องปิด...ทำไมต้องซ่อน?...คุณผิด" และพระคัมภีร์ได้บันทึกว่า ไม่มีคนใดที่ไม่เคยทำผิดเลย(โรม 3.23) ทุกคนทำบาปและรู้อยู่แก่ใจทุกคน แม้กระทั่งศาสดาของศาสนาก็รู้อยู่แก่ใจว่า เขาทำผิด.... เรารู้ได้อย่างไร? ก็โดยดูจากการที่พวกเขากำลังพยายามแสวงหาการหลุดพ้น การรอด ก็สามารถเห็นได้ เพราะถ้าเขาไม่เคยทำผิด เขาจะแสวงหารการหลุดพ้นจากบาปทำไมกัน? และพระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าในวันสุดท้ายเมื่อมนุษย์ตายไป วิญญาณเขาจะออกจากร่างและจะต้องรับการพิพากษา(ฮีบรู9.27) และในวันพิพากษานั้น จิตสำนึกผิดชอบของตัวเขาเองจะฟ้องว่าเขาผิดและนำความผิดบาปทั้งที่ลับและที่แจ้งของเขาเปิดเผยออกมาหมด และเขาต้องรับผลตามการกระทำของเขา
ตอนนี้เรามาดูหัวข้อที่น่าสงสัย ซึ่งเป็นคำถามที่มนุษย์หลายคนสงสัยนั่นก็คือคำถามที่ว่า "พระเจ้าสร้างความชั่วใช่ไหม? ลูกไก่พันธุ์เลวต้องมาจากพ่อไก่พันธ์เลว เมื่อมนุษย์เลวนั่นแสดงว่าพระเจ้าเลวด้วยใช่ไหม?"

พระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่ว
เมื่อคนหนึ่งบอกว่า "สิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนี้ชั่ว" เราก็ต้องถามเขาว่า "คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้ไม่ดี สิ่งนี้ชั่ว ใครบอกคุณ ในเมื่อคุณบอกว่าสิ่งนี้ชั่ว นั่นแสดงว่าคุณรู้ว่าสิ่งที่ดีเป็นอย่างไรใช่ไหม?"ถ้าเราไปถามปลาว่า "มันรู้จักเปียก ไหมว่าเป็นอย่างไร?" ถ้ามันตอบได้มันคงตอบว่า "ไม่รู้เพราะมันเกิดมามันก็อยู่ในน้ำแล้ว" แต่มนุษย์เรารู้จักเปียก เพราะแต่เดิมเราไม่ได้อยู่ในความเปียก แต่เราอยู่ในความแห้ง เมื่อเราเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งขาหักและมีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด เรารู้ว่าเก้าอี้ตัวนี้ "มันไม่ดี มันเสียแล้ว" คุณรู้ได้อย่างไรว่า เก้าอี้ตัวนี้มันไม่ดี มันเสียแล้ว นอกเสียจากคุณรู้ว่าดีหรือไม่เสียมันเป็นอย่างไร?.. เมื่อเก้าอี้ตัวนี้มันเสีย ก็ไม่ใช่หมายความว่าคนที่สร้างมันไม่ดี แต่คนสร้างมันทำมันอย่างดี แต่ต่อมามันเสียแล้ว มันเคยดีมาก่อนแต่เดี๋ยวนี้มันเสียแล้ว เริ่มต้นมันดี แต่ตอนนี้เสียแล้ว
เช่นเดียวกัน เมื่อคุณบอกว่ามนุษย์ชั่ว ไม่ดี คุณรู้ได้อย่างไรว่า ไม่ดีหรือชั่ว นั่นแสดงว่ามนุษย์นั้นเคยดีมาก่อน แต่ตอนนี้มันชั่วแล้ว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ดีทุกประการ แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ดีแล้ว แล้วความไม่ดี ความชั่ว และความผิดบาปของมนุษย์เกิดมาจากไหนกันล่ะ?
กฏ 4 กฏ
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งนั้น พระองค์ทรงมีกฏเกณฑ์ให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากมนุษย์จะต้องทำตามกฏที่พระเจ้าวางไว้ มันจะแหกกฏไม่ได้และมันไม่มีอิสระในการเลือก
กฏของวัตถ ุ - เมื่อเราโยนวัตถุขึ้นฟ้า กฏของมันก็คือตก และเมื่อมันตก มันก็จะอยู่ตรงนั้นเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ พระเจ้ากำหนดให้ดวงอาทิตย์ขึ้น มันจะเลือกไม่ได้ว่า "ฉันไม่ขึ้น" มันต้องขึ้นและแหกกฏไม่ได้
กฏของพืช - มันจะต้องทำตามกฏเกณฑ์ที่ถูกวางกฏไว้ เช่น ใบของไมยราบเมื่อเราไปแตะมัน มันจะหุบ มันจะเลือกไม่หุบไม่ได้ ดอกของต้นไม้เมื่อถึงเวลาจะบาน มันต้องบาน มันจะเลือกไม่บานไม่ได้เลย
กฏของสัตว์ - มันจะต้องทำตามกฏและสัญชาติญาณที่มันถูกวางไว้เท่านั้น สัญชาติญาณคืออะไร ก็คือ การตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามาในชีวิตทันทีโดยไม่มีปิดบัง เมื่อมีคนหนึ่งยื่นนิ้วมาเพื่อจะจี้คุณที่เอว คุณจะเบี่ยงตัวหลบทันที เมื่อมีคนจะเอาปากกามาวาดหนวดให้คุณ คุณก็จะเอาใบหน้าหนีทันที นี่คือสัญชาติญาณ แต่มนุษย์เรามีลึกกว่าสัตว์เพราะเรามีจิตวิญญาณ(สิ่งนี้ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์อย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราสามารถที่จะยิ้มข้างนอก แต่ภายในใจยังฆ่ากันได้ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์ดูภายนอกอาจจะว่าเป็นคนดี แต่ภายในอาจจะเต็มไปด้วยความชั่วก็ได้) แต่สัตว์มันมีแค่สัญชาติญาณ และมันจะต้องทำตามกฏของสัญชาติญาณที่มันถูกวางไว้ทุกประการเลือกไม่ได้เลย เช่น พระเจ้าทรงวางกฏเกณฑ์ให้แมงมุมต้องทำบ้านด้วยใย มันก็ต้องทำด้วยใยจะแหกกฏไม่ได้เลย เมื่อหมามันโกรธหรือเห็นคนแปลกหน้ามันจะแยกเขี้ยวหรือขู่คำรามทันที เมื่อหมามันเห็นหมาตัวอื่นเข้ามาในถิ่นมัน มันจะมีปฏิกริยาทันที เมื่อหมาตัวผู้เห็นหมาตัวเมีย มันจะวิ่งเข้าไปดมก้นหมาตัวเมียทันที เมื่อหมามันต้องการผสมพันธุ์ มันก็ไม่มีปิดบังและไม่เลือกด้วยว่า ตัวผู้หรือตัวเมียที่มันผสมพันธ์ด้วยนั้นจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้องหรือลูกมัน มันจะทำตามสัญชาติญาณเท่านั้น
กฏของมนุษย์ - จากข้างต้นเราจะเห็นว่าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น วัตถุ พืชหรือสัตว์มันจะต้องทำตามกฏที่พระเจ้าวางไว้ทุกประการ มันเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องรับผิดชอบ หรือมีคนต้องให้มันรับผิดชอบการกระทำของมัน แต่มนุษย์เราไม่ใช่อย่างนั้น ถึงแม้เรามีกฏแต่เราสามารถแหกกฏได้ คุณเคยพูดกับคนอื่นด้วยประโยคต่อไปนี้ไหม? .... "ทำไมคุณทำอย่างนี้?"..."คุณไม่น่าทำอย่างนี้"....ประโยคเหล่านี้ที่คุณถามคนอื่นกำลังชี้ให้เห็นว่า คุณกำลังต่อว่าเขาว่า "เขาไม่ทำตามกฏ เขาไม่เล่นตามกฏ เขากำลังแหกกฏ"
มนุษย์เรารู้ดีอยู่แก่ใจว่า ภายในจิตใจของเรามีกฏ และเรารู้ว่ากฏนั้นดี แต่เรามีอิสระในการเลือกได้ว่าจะทำตามหรือไม่ทำตามกฏนั้น ถ้าเราทำตามเราจะไม่รู้สึกผิด แต่ถ้าเราไม่ทำตามเราจะรู้สึกผิดทันที และเรายังรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเราด้วย เช่น เมื่อหมาตัวผู้ทำหมาตัวเมียท้อง มันไม่ต้องรับผิดชอบและมันก็ไม่รู้สึกว่ามันต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของมัน และก็ไม่มีใครที่เรียกร้องให้มันรับผิดชอบ แต่ถ้าผู้ชายคนหนึ่งทำผู้หญิงท้อง เขาจะรู้สึกถึงการรับผิดชอบทันที(ถ้าหากเขาไม่รับผิดชอบและบอกว่าไม่รู้สึกผิด แต่เขาก็โกหกตัวเองไม่ได้เพราะลึกๆของเขาจะรู้สึกขัดแย้งหรือรู้สึกผิดอย่างแน่นอน)
จากข้างต้นเราจะเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างความชั่วและพระองค์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ แต่มนุษย์ต่างหากที่ใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด ความชั่วจึงได้เกิดขึ้นและมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง พระเจ้าสร้างดีทุกประการ แต่เพราะมนุษย์ใช้อิสระในทางที่ผิดความชั่วจึงได้เกิดขึ้น เหมือนกับคุณเป็นเจ้าของโรงงานสร้างเครื่องพิมพ์ดีดที่ดีที่สุดในโลก ต่อมาผมได้ไปซื่อเครื่องพิมพ์ดีดของโรงงานคุณมาเครื่องหนึ่ง แล้วนำมาพิมพ์ ต่อมาพิมพ์ผิด ผมก็ยกเครื่องพิมพ์ดีดไปหาคุณแล้วบอกว่า "คุณต้องรับผิดชอบในคำผิดที่เกิดขึ้นน่ะ เพราะคุณทำไมสร้างเครื่องพิมพ์ดีดที่พิมพ์ผิดได้" คุณลองนั่งคิดดูซิว่า ใครต้องรับผิดชอบกันแน่ คนสร้างหรือคนที่ใช้.......คำตอบก็คือคนที่นำไปใช้อย่างแน่นอน ทำไมน่ะหรือ?..ก็เพราะว่าคนที่นำไปใช้ไม่ได้ควบคุมหรือไม่ระมัดระวังในการพิมพ์ คำผิดจึงเกิดขึ้น คนที่ใช้ต้องรับผิดชอบไม่ใช่ผู้สร้าง
มีคนหนึ่งเดินเข้าไปใช้ส้วมสาธารณะ เมื่อออกมาก็พูดว่า "สกปรกฉิบเป๋ง..คนสร้างมันนี้คงสกปรกน่าดู" พอดีคนคนสร้างได้ยินก็เลยตอบเขาว่า "ผมไม่ได้สกปรก ผมสร้างมันอย่างสะอาด ต่อมาเมื่อมีคนใช้ไม่ยอมรักษาความสะอาด มันจึงสกปรก และเมื่อคุณเข้าไปก็ยิ่งทำให้มันสกปรกมากขึ้น"
อิสระคืออะไร?
หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า "อิสระ" เขาคิดว่าอิสระคือจะทำ อะไรก็ได้ ไม่มีใครห้าม ไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ถ้าเราคิดว่าอิสระคือทำอะไรก็ได้ นั่นไม่ใช่อิสระ แต่นั่นคือสัตว์เดียรัจฉาน(2 เปโตร 2.12) ถ้าเช่นนั้นอะไรคือความหมายของคำว่าอิสระ?..."อิสระ"ก็คือ การกระทำในสิ่งใดก็ได้โดยอยู่ภายใต้ขอบเขตหรือกฏเกณฑ์
ข้างต้นเราได้กล่าวแล้วว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เหมือนกับพระองค์ เหมือนตรงนี้เป็นการเหมือนตรงลักษณะชีวิตภายในมนุษย์ ไม่ใช่ภายนอก เหมือนตรงลักษณะภายในซึ่งเป็นวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย เมื่อเราบอกว่า คนคนนี้คดในข้อ งอในกระดูก ก็ไม่ใช่หมายความว่า ร่างกายเขาคดงออย่างที่เราพูด แต่หมายความว่า เขามีลักษณะ นิสัยภายในเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกัน มนุษย์ก็มีลักษณะภายในที่เหมือนกับพระเจ้า เช่น พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ทำการดี มนุษย์จึงรู้สึกถึงการอยากทำดี(ถ้าทำไม่ดี เขาจะรู้สึกขัด) พระเจ้าทรงเป็นความยุติธรรม มนุษย์จึงรักและชอบความยุติธรรม พระเจ้าทรงมีความเมตตาสงสาร มนุษย์จึงมีความเมตตาสงสาร พระเจ้ามีความรักที่มีเหตุผล มนุษย์จึงมีความรักที่มีเหตุผล พระเจ้าทรงเป็นแหล่งของสติปัญญา มนุษย์จึงมีสติปัญญา พระเจ้ามีศักดิ์ศรี มนุษย์จึงมีศักดิ์ศรีด้วย และสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมีนั่นก็คือ ความอิสระ ดังนั้นมนุษย์จึงมีอิสระด้วย แต่ความอิสระของพระองค์นั้น ไม่ใช่หมายความว่าพระองค์จะทำอะไรก็ได้ตามที่พระองค์อยากกระทำ แน่นอนที่พระเจ้าจะทรงทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระองค์ได้เปิดเผยให้แก่มนุษย์อย่างชัดเจนว่า ถึงแม้พระองค์มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาควบคุม แต่พระองค์จะไม่ทำในสิ่งที่ขัดกับพระลักษณะและกฏเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้อย่างเด็ดขาด เช่น พระองค์ทรงกำหนดว่า โกหกคือบาป พระองค์ก็จะไม่โกหก เมื่อพระองค์กำหนดว่าสิ่งนี้มันจะต้องกลม พระองค์จะไม่ทำให้มันเบี้ยวอย่างแน่นอน ถ้าจะพูดให้ลึกอีกสักหน่อยก็จะกล่าวได้ว่า แม้แต่ความอิสระของพระเจ้ายังต้องมีขอบเขตกฏเกณฑ์ พระองค์จะไม่ใช้อิสระของพระองค์ ที่ข้ามหรือล่วงล้ำกฏเกณพ์ที่พระองค์ทรงวางไว้อย่างเด็ดขาด และนี่ก็คือความหมายของคำว่า "อิสระ"ที่แท้จริง
เมื่อเราทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "อิสระ"แล้ว เราก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่า มนุษย์เรานั้นเหมือนกับพระเจ้า คือเราทำอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ ขอบเขต กฏเกณฑ์ของที่ที่เราอยู่ เช่นเราอยู่เมืองไทย เรามีอิสระภายใต้กฏเกณฑ์ของประเทศไทย เรามีอิสระที่จะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับกฏหมาย ถ้าเราคิดว่า อิสระก็คือทำอะไรก็ได้เป็นการเข้าใจผิดมาก เพราะเราไม่สามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยได้เลย ความอิสระของเราต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฏหมาย
มนุษย์ไม่สามารถทำดีเพื่อพ้นบาปได้
ข้างต้นเราได้เข้าใจแล้วว่า โลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ความจริงนี้มันแจ้งอยู่ในจิตใจมนุษย์ และพระเจ้ามีกฏให้กับทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากมนุษย์จะต้องทำตามกฏ มันไม่มีอิสระที่จะเลือก แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกที่สามารถเลือกว่าจะทำตามกฏหรือไม่ทำก็ได้ เขามีอิสระในการตัดสินใจได้เอง ถ้าเขาใช้อิสระในทางที่ถูก เขาจะไม่รู้สึกผิด แต่ถ้าเขาใช้อิสระที่มีอยู่ภายในเขาในทางที่ผิด เขาจะรู้สึกถึงการขัดแย้งและรู้สึกลึกๆว่า เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขา ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มที่จะทำให้ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบนี้มันหายไป และวิธีที่มนุษย์ใช้มากที่สุดก็คือ การทำดีการประพฤติตามศีลธรรมอันดีแต่การกระทำเช่นนี้ของมนุษย์ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาปที่เขาได้กระทำมาได้หรือ?...เรามาดูกัน" ก่อนอื่นให้เรามาดูชาร์ตข้างล่างนี้กันก่อน
ชาร์ต์นี้ได้บอกเราถึงความจริงอะไรบ้าง?
ถ้าเราดูจากชาร์ต จะเห็นว่า ช่องแรกคือ "กฏหมาย" เราอยู่ในเมืองไทย เราต้องอยู่ในขอบเขตของกฏหมายของเมืองไทย ภายใต้กฏหมายเมืองไทย เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้แต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฏหมายไทย ภายใต้กฏหมายไทยเรามีหน้าที่เป็นพลเมืองดี การรักษากฏหมายเป็นหน้าที่ของเราทุกคน แต่เพราะว่าเรามีอิสระนี่เองเราจึงสามารถเลือกได้ว่าจะทำตามกฏหมายหรือไม่ทำก็ได้(รัฐบาลไม่ได้บังคับเรา แต่เรียกร้องให้เรารักษากฏหมาย) ถ้าเราใช้อิสระในการเลือกในทางที่ถูกคือทำตามกฏหมาย รัฐบาลไทยก็จะเรียกเราว่า "พลเมืองดี" ที่แท้จริง แต่ถ้าเราใช้อิสระที่มีอยู่ในทางที่ผิด รัฐบาลไทยก็จะเรียกเราว่า "พลเมืองเลว" ทันที และเราทำตามกฏหมายหรือไม่ทำตามกฏหมาย เรามีพยานที่อยู่ในจิตใจของเรา เรารู้ดีอยู่แก่ใจ
ถ้าเราทำผิดกฏหมาย ก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทาง นั่นก็คือ ถูกจับได้ทันที กับ ยังถูกจับไม่ได้ ถ้าเราถูกจับได้ทันทีก็ดำเนินคดีและลงโทษ แต่ถ้าเรายังถูกจับไม่ได้ เราก็ดูเหมือนว่ามีอิสระ แต่ไม่ใช่อิสระที่แท้จริงต่อไปแล้ว แต่มันเป็นอิสระที่มีคดีติดตัว ถ้าตำรวจจับได้เมื่อไหร่เราก็ถูกลงโทษเมื่อนั้น เมื่อ 3 ปีที่แล้วผมรู้จักยามคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในโรงงานจังหวัดขอนแก่น ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ รักครอบครัว แต่วันหนึ่งตำรวจได้มาจับเขาในข้อหาฆ่าคนตายที่สกลนครเมือ 4 ปีที่แล้ว ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เขามาอยู่ขอนแก่น เขาดูเหมือนว่ามีอิสระ ดูเหมือนว่าไม่มีความผิดอะไร แต่เมื่อตำรวจมาถึง เราจึงรู้ว่า ตั้งแต่เขาทำผิดคือฆ่าคนตาย เขาก็ไม่มีอิสระตั้งนานแล้ว
และถ้าเมื่อเราทำผิดกฏหมาย เราไปบอกตำรวจว่า เราจะรักษากฏหมายเพื่อลบล้างคดีของเรา ตำรวจจะพูดว่าอะไร? ตำรวจก็จะพูดอย่างนี้ว่า "คุณทำผิดกฏหมายต้องว่าไปตามกฏหมายคุณไม่สามารถลบล้างคดีด้วยการรักษากฏหมายได้เลย เพราะว่าการรักษากฏหมายเป็นหน้าที่ของคุณอยู่แล้ว การรักษากฏหมายของคุณไม่ได้ช่วยให้คุณพ้นคดีได้เลย มันช่วยได้เพียงอย่างเดียวคือ ทำให้ข้อหามันอยู่ตัวหรือไม่เพิ่มขึ้นเท่านั้น" แล้วทำอย่างไรล่ะคดีจึงจะหมดไปได้?...คำตอบก็คือ "รับการลงโทษสถานเดียว"
เช่นเดียวกัน หลังจากที่พระเจ้าสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ให้เขาอยู่ในโลกและวางกฏเกณฑ์ให้แก่เขา ภายใต้กฏเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้มนุษย์มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของ กฏเกณฑ์นั้น ภายใต้กฏเกณฑ์นั้น มนุษย์มีหน้าที่ทำดีคือทำตามกฏเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ให้แก่พวกเขา แต่เพราะพระเจ้าให้มนุษย์มีอิสระ มนุษย์จึงสามารถเลือกได้ว่าจะทำตามกฏเกณฑ์ที่พระเจ้า ทรงวางไว้หรือไม่ทำก็ได้(พระเจ้าไม่ได้บังคับ) ถ้ามนุษย์ใช้อิสระที่มีอยู่ในทางที่ถูก พระเจ้าก็จะเรียกเขาว่า ชอบธรรม หรือ ผู้บริสุทธิ์ เขาก็จะมีอิสระที่แท้จริง แต่ถ้าหากมนุษย์ใช้อิสระในทางที่ผิดคือฝ่าฝืนกฏเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงวางไว้ สถานภาพของเขาก็จะกลายเป็น "คนบาป" ทันที ซึ่งมนุษย์ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า เขาทำผิดกฏเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงวางไว้ในใจของเขาหรือเปล่า ดูได้จากจิตสำนึกผิดชอบของเขาว่ามีการขัดแย้งกับเขาไหม? ถ้าคนหนึ่งซื่อสัตย์กับตัวเอง เขาจะต้องยอมรับว่า เขามีการขัดแย้งภายในจิตใจอย่างแน่นอน นั่นก็คือเขากำลังอยู่ในฐานะที่เป็น "คนบาป" นั่นเอง และเมื่อเขาทำผิดก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางนั่นก็คือ พระเจ้าพิพากษาลงโทษทันที กับพระเจ้ายังให้โอกาสแก่เขา ถ้าพระเจ้าลงโทษทันที มนุษย์ก็ต้องพินาศในนรกเดี๋ยวนั้นเลย แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงมีความเมตตาต่อมนุษย์เรา พระองค์ยังไม่พิพากษามนุษย์ให้ลงนรกทันทีแต่ยังให้โอกาส(โอกาสนี้คืออะไรเราจะพูดรายละเอียดกันในหัวข้อต่อไป)
เมื่อพระเจ้ายังให้โอกาสแก่มนุษย์ จึงทำให้มนุษย์ดูเหมือนว่ามีอิสระ แต่ไม่ใช่อิสระที่แท้จริงแล้ว มันเป็นอิสระที่มีคดีบาปติดตัว(เขารู้อยู่แก่ใจ) และพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่า วันหนึ่งพระองค์จะพิพากษาความผิดบาปที่เขาได้กระทำ แต่มนุษย์แทนที่จะกลับใจ เขากลับพยายามที่จะทำดี รักษาศีลธรรมอันดีงามเพื่อหวังจะพ้นจากบาปที่เขาได้ทำ แต่การทำดีของเขา การประพฤติตามศีลธรรมของเขาไม่สามารถที่จะลบล้างคดีบาปได้เลย เพราะว่าการทำดีหรือการประพฤติตามกฏศีลธรรมนั้นเป็นหน้าที่ของมนุษย์อยู่แล้ว การทำดีหรือประพฤติตามศีลธรรมไม่สามารถลบล้างคดีบาปได้เลย การทำดีหรือการประพฤติตามศีลธรรมนั้นมันช่วยได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ทำให้คดีบาปของเขาอยู่ตัวหรือไม่เพิ่มขึ้น"...... แล้วทำอย่างไรจึงจะพ้นจากคดีบาปได้?....คำตอบก็คือ "รับโทษสถานเดียว"
ทางเดียวในการรอดจากการพิพากษาของมนุษย์
ถ้าจะถามว่าอะไรคือบทลงโทษของการพิพากษาความผิดบาปของมนุษย์? คำตอบก็คือนรก ถ้าเราทำผิดกฏหมายในโลกนี้ เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล หลังจากนั้นก็ติดคุก พอครบกำหนดก็พ้นคดีได้ แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างชัดเจนว่า บาปที่มนุษย์ได้ทำนั้นมันมากจนเหลือจะนับได้ และยังมีบาปอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะชดใช้ได้เลย แม้มนุษย์จะลงนรกก็ตามนั่นก็คือ บาปแห่งการทำให้พระสิริของพระเจ้าเสื่อม(โรม 3.23) พระสิริของพระเจ้านั้นมีค่ามาก และเป็นนิจนิรันดร์ เมื่อมนุษย์ใช้อิสระในการเลือกที่มีอยู่ในตัวทำลายจุดนี้ ค่าจ้างหรือผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ "ต้องอยู่ในนรกเป็นนิจนิรันดร์" เหมือนกับถ้าคุณมีลูก และต่อมามีคนมาฆ่าลูกคุณตาย ถ้าศาลพิพากษาให้ติดคุกตลอดชีวิต(ในกรณีเขายอมสารภาพ) คุณคิดว่ามันคุ้มกับการที่คุณต้องสูญเสียลูกไปหรือ?...ไม่มีทางเด็ดขาด...ลึกๆของคุณคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถึงแม้ไอ้คนที่ฆ่าลูกคุณจะติดคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตของมันให้ตายไปก็ไม่คุ้มกับสิ่งที่มันได้กระทำเลยอย่างแน่นอนถ้าจะให้มันพ้นจากคดีได้ตามความคิดของคุณก็คือ...."เอาลูกฉันมาให้ฉันคืนซิ".....
เช่นเดียวกัน บาปที่มนุษย์ได้กระทำต่อพระเจ้านั้นไม่มีทางที่จะชดใช้ได้เลย เขาจะต้องถูกลงโทษให้อยู่ในนรกเป็นนิตย์ นอกเสียจากจะมีผู้หนึ่งที่ไม่เคยทำผิดบาปเลยมามอบพระสิริของพระเจ้าคืนให้กับพระองค์เพื่อเขา...แต่จะมีผู้นั้นไหม?
พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้านั้นยุติธรรม บาปจะต้องมีการลงโทษ แต่พระคัมภีร์ก็บอกอีกด้านหนึ่งของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงเป็นความรักและไม่ประสงค์ให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดต้องพินาศด้วยความรักพระองค์ไม่อยากลงโทษแต่เพราะเหตุความยุติธรรมพระองค์จึงต้องลงโทษมนุษย์เหมือนกับถ้าคุณเป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรมมากวันหนึ่งลูกของคุณไปทำผิดกฏหมายคือฆ่าคนตายในใจของคุณคงไม่อยากลงโทษลูกชายแน่แต่เพราะความยุติธรรมที่คุณมีอยู่ทำให้คุณไม่อยากลงโทษก็ต้องลงโทษลูกของคุณ เมื่อเป็นเช่นนี้พระเจ้าจะทำอย่างไรดี?
พระคัมภีร์ก็ได้บอกอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์จึงทรงกำหนดว่า ถ้าหากมนุษย์จะพ้นจากบาปได้ก็มีทางเดียวคือ จะต้องมีผู้มาตายแทน และผู้ที่จะมาตายแทนได้นั้นจะต้องไม่มีบาปหรือไม่ทำบาปเลย เพื่อว่าเขาจะเอาพระสิริของพระเจ้าในตัวของเขามาชดใช้หนี้บาปให้แก่มนุษย์ได้ เมื่อเรารู้เช่นนี้เราอาจจะรีบหาคนที่มาตายแทนเราก็ได้ แต่หาไปหามาก็หาไม่พบ เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ผมอยากตายแทนคุณก็ไม่ได้ หรือคุณอยากตายแทนผมก็ไม่ได้ เพราะเราทั้งสองต่างก็มีบาปและทำบาป เช่นนี้มนุษย์เราจะรอดจากบาปได้อย่างไรกัน?
การพิพากษาของพระเจ้านั้นยุติธรรมมาก คือติดเงินใช้เงิน ติดทองใช้ทอง มนุษย์ทำบาปด้วยร่างกาย จะพ้นบาปได้ก็ต้องใช้ร่างกายเท่านั้น
พระเจ้าทรงทราบดีว่า ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตายเพื่อรับบาปแทนกันได้เลย เพราะมนุษย์ทุกคนต่างก็มีบาปและทำบาป ดังนั้นด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์พระองค์จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลกมารับสภาพเป็นเนื้อหนัง มีร่างกายเพื่อจะใช้ร่างกายนั้นรับโทษบาปแทนมนุษย์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าก็คือ พระเยซูคริสต์
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า
ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถตายเพื่อรับโทษแทนกันได้เพราะมนุษย์ทุกคนมีบาป ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์(ถ้าพระองค์ไม่บังเกิดเป็นมนุษย์ก็จะไม่สามารถตายไถ่บาปให้กับมนุษย์ได้เลย) พระคัมภีร์เรียกพระเจ้าที่ส่งพระเยซูคริสต์มาว่า พระบิดา และพระเจ้าที่รับการส่งจากพระเจ้าที่เป็นพระบิดาให้มารับสภาพเป็นมนุษย์พระคัมภีร์เรียกว่า พระบุตร ในเมื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงมีพระบิดาเป็นพระเจ้า พระบิดาทรงให้กำเนิดพระองค์ พระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้าด้วย เรื่องนี้ไม่ยากที่จะเข้าใจได้เลย ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจ...... ถ้าผมถามคุณว่า"ผมเป็นพระเจ้าหรือมนุษย์?" คำตอบก็คือ "เป็นมนุษย์" ในเมื่อผมเป็นมนุษย์ลูกผมที่เกิดออกมาล่ะเป็นอะไร?....แน่นอนก็เป็นมนุษย์ด้วย".............ในความเป็นมนุษย์นั้นผมกับลูกใครใหญ่กว่ากัน คำตอบก็คือ "เท่าเทียมกันในเนื้อแท้ที่เป็นมนุษย์ เท่าเทียมกันในความเป็นคน แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่"
เช่นเดียวกัน......พระเจ้าเป็นมนุษย์หรือเป็นพระเจ้า?..คำตอบก็คือ "เป็นพระเจ้า"... ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าลูกที่เกิดมาเป็นอะไร?.....คำตอบก็คือ "เป็นพระเจ้า".....ในความเป็นพระเจ้านั้นพระบิดากับพระบุตรใครใหญ่กว่ากัน? คำตอบก็คือ "เท่าเทียมกันในเนื้อแท้ที่เป็นพระเจ้า เท่าเทียมกันในความเป็นพระเจ้า แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่"
ถ้าคุณไปเปิดดูในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ยอห์น 10.22-39 คุณจะเห็นความจริงนี้อย่างชัดเจนว่าพระเยซูคริสต์อ้างตัวว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า นั่นก็คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ข้างล่างนี้เป็นบทสรุปเนื้อหาของพระคัมภีร์ตอนนี้
ครั้งหนึ่งพวกยิวได้ถามพระเยซูคริสต์ว่า "ท่านเป็นอะไรกับพระเจ้า" พระเยซูบอกว่า"เราเป็นบุตรของพระบิดา เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา" พวกยิวจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระเยซู พระองค์จึงถามเขาว่า "ท่านจะขว้างเราเพราะสาเหตุอะไร เราทำผิดอะไรหรือ?" พวกยิวตอบว่า "เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูกหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า"......
คำพยานจากผู้ที่มีเหตุผลและต่อมาต้องยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเพราะเหตุผลของตนเอง
เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว มีนักปรัชญาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ C.S.Lewis ท่านเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ มหาวิทยาลัย แครมบริดจ์ ที่อังกฤษ แต่ก่อนท่านเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผู้สร้าง ไม่เชื่อในความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ ท่านได้โต้แย้งกับเพื่อนอาจารย์ที่เป็นคริสเตียนด้วยกันอย่างรุนแรง และเพื่อนของท่านได้เสนอให้ท่านอ่านพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ ท่านจึงได้อ่านแต่ไม่ใช่เพื่อจะเรียนรู้ แต่เพื่อที่จะหาข้อผิดผลาดเพื่อจับผิดพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ และเมื่อท่านอ่านมาถึงจุดที่ว่า "พระเยซูคริสต์อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกนี้สร้างมนุษย์ และอ้างว่าตัวเองเข้ามาในโลกเพื่อรับสภาพเป็นร่างกายมนุษย์ เพื่อจะใช้ร่างกายนี้รับโทษบาปแทนมนุษย์"
จากชาร์ตของ Lewis เราจะเห็นว่า ท่านได้บอกว่า ถ้ามีคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางด้วยกันคือ
เขาอ้างถูก
เขาอ้างผิด
ถ้าเขาอ้างผิดก็มีทางเป็นไปได้ 2 ทางเช่นกันคือ
เขารู้ตัวว่าเขาอ้างผิด
เขาไม่รู้ตัวว่าเขาอ้างผิด
ถ้าเขาไม่รู้ตัวว่าอ้างผิด เขาก็เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขารู้ตัวว่าไม่ใช่พระเจ้า แต่ยังอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่ โกหก หลอกลวง เป็นนักต้มตุ๋น เป็นคนใช้ไม่ได้ เป็นคนถูกผีสิง และสุดท้ายก็เป็นคนโง่ที่สุด เพราะยอมตายในสิ่งที่ตนเองรู้ว่าไม่จริงและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย(ไม่มีใครโกหกเพื่อเสียผลประโยชน์)
เมื่อ Lewis วิเคราะห์เหตุผลตามข้างต้น เขาก็ต้องยอมรับด้วยเหตุผลในสมองแห่งความเข้าใจ และวินิจฉัยของตัวเขาเองว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่คนบ้าและไม่ใช่คนที่หลอกลวงมนุษย์ ในเมื่อพระองค์ไม่ใช่คนบ้าและคนที่หลอกลวงมนุษย์ ในที่สุด Lewis ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พระเยซูอ้างถูกแล้ว นั่นก็คือ "พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ที่มารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายของพระองค์รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ" ในเมื่อเป็นเช่นนี้ Lewis ก็บอกกับตัวเองว่า "เมื่อผมได้ใคร่ครวญถึงเหตุผลและความจริงนี้แล้ว ผมก็มีทางเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ ปฏิเสธหรือยอมรับพระองค์ และวันนี้ผมจะต้องเลือกตัดสินใจในสิ่งที่ผมไม่อยากจะเลือกที่จะตัดสินใจเช่นนี้เลย" สุดท้ายท่านก็ได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ข้างล่างนี้เป็นข้อความสรุปจากคำพูดของท่านประโยคหนึ่งจากหนังสือที่ท่านเขียนให้แก่ผู้อ่านหนังสือของท่าน
"ถ้าเรามองอย่างผิวเผินเราอาจจะมองเห็นว่า พระเยซูคริสต์เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น แต่ถ้าเราศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของพระองค์จริงๆแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะทำให้เราต้องทำการตัดสินใจว่า ชายคนคนนี้คือคนบ้าคนหลอกลวง หรือเป็นพระเจ้าผู้มารับสภาพเป็นมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายของตัวเองในการรับโทษบาปแทนมนุษย์.....สำหรับข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าขอบอกว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่การที่ข้าพเจ้ายอมรับเหตุผลว่าจริงก็ไม่สามารถที่จะทำให้ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน(ได้รับความรอด)ได้ ข้าพเจ้าจะต้องยอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาปและขอพึ่งวางใจในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าจึงจะสามารถรับความรอดได้"

การยืนในหนทางพระเจ้า

การยืน

เอเฟซัส 6:10-11, 13-18
เมื่อคิดถึงการยืนในชีวิตคริสเตียน
1.ยืนหยัดที่จะต่อต้านศัตรู ศัตรูของเราในความหมายนี้อาจจะไม่ใช่พี่น้องที่ไม่ถูกกัน พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนบ้านที่นับถือต่างศาสนา ไม่ใช่ แต่ในพระคัมภีร์ เอเฟซัส 6:10-20 เปาโลเรียกว่าวิญญาณชั่ว พระเจ้าทรงมีศัตรูตัวฉกาจใต้อำนาจของศัตรูผู้นี้มีปีศาจ เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
ชัดเจนมากที่สุดในพระคัมภีร์ เอฟซัส 6:12 ซาตานพยายามจะใช้เราให้เราเป็นสมุนของมัน วิธีการของมันค่อนข้างแยบบลเจ้าเล่ห์ เพทุบาย มันฉลาดกว่าเราเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น
- มันใช้ความคิดเห็นส่วนตัวของเราที่ไม่ตรงกันกับพี่น้องคนอื่นให้เราแตกคอกันได้
- มันสามารถที่ใช้พระคัมภีร์ที่ล่อหลอกเราได้ เห็นได้ชัดที่มันหลอกพระเยซูคริสต์ในถิ่นทุรกันดาร (มธ.4:1-11) และมีอีกหลายๆวิธี เช่น ผมเคยพลาดมาแล้วกับวิธีการของมัน คือผมชอบใช้อินเตอร์เน็ตทุกวัน หาข้อมูลต่างๆ โหลดเพลง ในอินเตอร์เน็ตจะมีภาพและเว็บที่ไม่ดีแฝงมาตลอด สิ่งนี้ชวนให้เราอยากคลิกเข้าไปดู และไม่ใช่เราจะเข้มแข็งเสมอไป เราก็อยากลองอยากรู้ เพราะใจที่อ่อนแอและไม่ระมัดระวังผมก็พลาดกับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว และมันก็นำไปถึงบาปอื่นๆได้ โลกนี้ยังมีอีกมากที่ทำให้เราห่างจากการยืนหยัดในทางของพระเจ้า ไม่มากก็น้อย
พระเจ้ารับสั่งให้เรายืน ยืนในความหมายคือ ยืนหยัดที่จะ “ต่อต้าน” ยืนอยู่อย่างมั่นคง (แต่ไม่ใช่หนีปัญหา ไม่เผชิญหน้า คือไม่ใช่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร) เราต้องเรียนรู้ที่จะยืนเหมือนพระเยซู หรือแม้กระทั่งยืนไปในพื้นที่ๆศัตรูชิงเอาไปจากพระเจ้า งงมั้ย หมายถึงการที่เราเข้าไปช่วงชิงพื้นที่ๆซาตานมันครอบครองอยู่ อาจจะเป็นพี่น้องที่อ่อนแอ ผู้คนที่กำลังต้องการความรอด เรารู้ว่าถ้าเราช่วงชิงมาได้เราก็รบด้วยความมีชัยชนะโดยผ่านทางไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ได้ฟื้นมาจากความตาย พระองค์ได้มอบชัยชนะให้กับเราแล้ว เพียงแต่เรายืนหยัดที่จะต่อต้านกับศัตรูทั้งสิ้น

2.งานของเราเป็นการยืนหยัด พระเจ้าทรงได้ชัยชนะแล้วทางพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นเป็นงานของเราที่ควรจะยืนหยัด ยึดถือไว้ ในสิ่งที่เราเข้าใจ เราเข้าว่าศัตรูนั้นพ่ายแพ้ไปแล้วนี่คือความจริง ซาตานได้พ่ายแพ้พระเยซูเมื่อ2000ปีก่อนแล้ว ไม่จำเป็นที่เราต้องดิ้นรน ไปเรียนรู้วิชาปราบผี คาถา อาคม เวทมนต์ต่างๆ ไม่ต้องห้อยพระกันผีอะไรทั้งสิ้น เพราะพระเยซูเป็นผู้ที่ทำให้เราได้ชัยชนะแล้ว โรม8:37 มีชัยอย่างเหลือล้น ในการยืนหยัดทุกวันนี้เป็นอย่างไร?
“เราไม่ได้รบเพื่อชัยชนะ แต่เรารบจากชัยชนะต่างหาก”
การที่เราจะรบกับซาตานเพื่อช่วงชิงความมีชัยชนะ บอกได้เลยว่าเราจะแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น เช่น ถ้าซาตานจู่โจมท่านที่บ้านหรือที่ทำงาน ให้เกิดความยุ่งยากสับสนต่างๆ เป็นสถานการณ์ที่พี่น้องจัดการไม่ได้ รู้สึกอ่อนล้าไม่มีทางออก พี่น้องหลายคนอาจจะหาทางออกโดยวิธีการที่ดูดี เช่น อดอาหาร อธิฐาน การฟาส สิ่งนั้นสิ่งนี้ เราทำอยู่หลายวันไม่เป็นผล พี่น้องอาจสงสัยว่าทำไม ไม่ได้รับคำตอบ?
นี่คือวิธีการที่เรากำลังต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ เพราะชัยชนะของพี่น้องมันอยู่ไกลเหลือเกิน กว่าที่เราจะชนะซาตานก็มาช่วงชิงเอาไปแล้ว
2 ธก. 2:8 เพียงแค่ลมหายใจของพระเจ้าเบาๆ พระเจ้าก็สังหารซาตานได้แล้ว ฉะนั้นเราต้อทำอย่างไร? เราต้องพึ่งพาพระเจ้า เน้นว่าต้องจริงใจที่จะพึ่งพาพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ทำให้คนอื่นยกย่องเพื่อให้ดูดี พระเจ้าเรียกเราให้เราเข้ามา ถ่อมใจ ที่จะพึ่งพาพระองค์จริงๆ “เราอย่าพยายามสร้าง ลมทอนาโด เลยที่จะประหารซาตาน แต่พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าทรงประหารซาตานด้วยลมหายใจเบาๆ แล้ว
3.พระเจ้าทรงมอบหมายพระองเองให้เรายืนหยัด
เอเฟซัส1:22-23 เราได้รับข่าวดีในทุกวันนี้ เพราะในการทำงานในคริสตจักร เราได้รู้ว่าพระเจ้าทรงมอบพระเยซูให้เรายืนหยัด ในการทำงานเพื่อพระองค์ ดังนั้นงานของคริสตจักร คืองานของพระเยซู “ไม่มีงานไหน สมควรเรียกว่าเป็นงานของพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้มอบพระองค์เองให้กับงานนั้น”
ปัญหาที่เกิดขึ้น คือว่า ซาตาน ผีชั่วต่างๆ มันรู้จักพระเจ้า รู้จักพระเยซู มีเรื่องเล่ามากมายในเรื่องนี้ในหนังสือพระกิตติคุณ เราอาจจะเคยอ่านในหลายๆครั้ง ฉะนั้น เป็นการเสี่ยงถ้าพระเจ้าไม่ได้มอบหมายงานนั้นให้กับเรา ง่ายมาที่เราจะใช้ ไบเบิ้ล โดยการนำของซาตาน อย่าลืมว่าซาตานมันก็คือ ทูตสวรรค์ มันรู้จักไบเบิ้ลดีกว่าเราๆจะเห็นได้จากผล ถ้ามันส่งผลไปในทางที่ไม่ได้เสริมสร้าง ก่อให้เกิดความแตกแยก ไม่เข้าใจกัน นั่นแหละซาตานมันได้อยู่กับท่านในระหว่างที่เปิดไบเบิ้ลแล้ว

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงมอบพระองค์เองให้เรายืนหยัด
3.1 พระเจ้าจะสำแดงพระประสงค์ของพระองค์แก่จิตใจของเรา เหมือนกับเราจะสร้างบ้านแต่เราเอาแบบของอู่รถโรงเก็บรถมา มันไม่สามารถเข้ากันได้เพราะมันคนละแบบ เราต้องเป็นคนงานที่ฉลาด โดยเฉพาะคริสเตียนส่วนใหญ่คิดว่างานประกาศเป็นงานของพระเจ้า แต่เราลืมไปว่างานที่เราประกาศเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับแผนงานของพระเจ้าหรือไม่ สิ่งที่เราทำไม่ใช่เพื่อตัวเองเช่นให้ตัวเองมีผลงานว่าเกิดผล แต่ควรจะเตรียมถวายเกียรติพระเจ้าด้วยผู้คนหลงหายนั้นกลับเข้ามาคืนดีกับพระองค์ไม่มีประโยชน์อะไรที่สรรเสริญตัวเอง
3.2 งานที่จะได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าต้องให้พระองค์เป็นผู้ขบคิด คริสเตียนหลายคนมักคิดว่าเราเป็นนักวางแผน มักวางแผนให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ และก็ขอให้พระเจ้าอวยพร ให้เป็นไปตามที่เราวางแผน มักจะคิดว่าตัวเองเขียนแผนอะไรไปพระเจ้าจะเซ็นอนุมัติสำหรับแผนนั้นเสมอ ยอห์น 5:19 ไบเบิ้ลข้อนี้ชัดเจน แม้แต่พระเยซูทำอะไรที่ตามใจตัวเองก็ไม่ได้ ในกิจการ 16:6-7 หลายครั้งเราคิดว่าสิ่งที่เราทำจริงๆนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ละอาทิตย์เรามีสิ่งที่จะทำเยอะมากๆ เราต้องหัดไม่ทำบ้าง หลายคนอาจตกใจ วันนี้บทเทศน์แปลกๆ สิ่งที่ผมบอกผมว่าเราต้องไม่ทำบ้าง เราต้องคอยพระองค์อยู่อย่างเงียบๆ เราต้องเรียนรู้ว่าถ้าพระเจ้าไม่ขยับเขยื่อน เราก็ไม่ต้องเคลื่อนไหว บางครั้งเราออกไปทำงานให้กับพระเจ้า ดูดี แต่ถ้าไม่มีพระเจ้าไปด้วยละครับ เหนื่อย
3.3 งานทั้งหมดจะได้ผล ถ้าเราพึ่งพาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าอย่างเดียวอยู่เสมอ อำนาจอะไร หลายคนอาจจะรู้จักนักพูดที่สามารถที่ทรงอำนาจได้ เช่นในเมืองไทยก็น่าจะเป็นนายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา เขาเป็นนักพูดที่สามารถทำให้คนหัวเราะได้ หรือร้องไห้ได้แต่ถ้าอำนาจน้นไม่ได้มาจากพระเจ้าก็ไร้ค่า

ฉะนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องยืนหยัด พึ่งพาฤทธิ์ที่มากพระเจ้า เราไม่สามารถที่แยกสิ่งใดจากตัวเราได้เลย ที่จะออกจากพระองค์
ในยอห์น 15:5 ในงานที่มนุษย์ทำก็พิสูจน์ได้จากไม้ฟาง ตอต้นข้าว ไฟจะพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นทนได้แค่ไหน
ทุกสิ่งที่เรากระทำควรกระทำด้วยการที่จะยืนหยัดสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่ตัวเราเอง